Close Menu
    Facebook X (Twitter) Instagram
    saothaiduongonline
    • Home
    • ความบันเทิง
    • ข่าวสารล่าสุด
    saothaiduongonline
    ข่าวสารล่าสุด

    กรดในกระเพาะอาหาร ขึ้น? กาแฟอาจเป็นสาเหตุ!

    Justin MitchellBy Justin MitchellJune 17, 2025No Comments2 Mins Read

    กาแฟเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่หลายคนชื่นชอบดื่มเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ หรือดื่มในช่วงเวลาต่าง ๆ แต่ถึงแม้จะให้ความเพลิดเพลิน กาแฟก็สามารถกระตุ้นให้ กรดในกระเพาะอาหาร เพิ่มสูงขึ้นได้ หากคุณมักมีอาการแสบร้อนกลางอก คลื่นไส้ หรือรสขมในปากหลังจากดื่มกาแฟ อาจเป็นสัญญาณของโรคกรดไหลย้อน (GERD) หรือกรดไหลย้อนในหลอดอาหาร

    ทำไมกาแฟถึงกระตุ้นให้กรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น?

    1. คาเฟอีนทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (LES) อ่อนแอ
      LES คือกล้ามเนื้อหูรูดที่ทำหน้าที่เหมือนวาล์วคั่นระหว่างหลอดอาหารกับกระเพาะอาหาร คาเฟอีนในกาแฟทำให้ LES ผ่อนคลาย ส่งผลให้กรดในกระเพาะไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหารได้ง่ายขึ้น

      ✔ อาการที่พบ:
      • รู้สึกแสบร้อนบริเวณอก (heartburn)
      • รสเปรี้ยวหรือขมในปาก
      • ท้องอืดหลังดื่มกาแฟ
    2. กาแฟกระตุ้นการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร
      กาแฟโดยเฉพาะชนิดคั่วอ่อนจะกระตุ้นเซลล์ในกระเพาะอาหารให้ผลิตกรดเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้อาการของโรคกระเพาะและกรดไหลย้อนแย่ลง

      ✔ ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์:
      งานวิจัยที่เผยแพร่ใน Gut Journal พบว่ากาแฟสามารถเพิ่มการหลั่งกรดในกระเพาะได้สูงถึง 40%
      ผู้ที่มีประวัติโรคกระเพาะจะไวต่อการเพิ่มขึ้นของกรดหลังดื่มกาแฟมากกว่า
    3. กาแฟมีความเป็นกรดสูง
      กาแฟธรรมชาติมีค่าความเป็นกรด (pH) ประมาณ 4.5–5 ซึ่งจัดว่าเป็นกรด กาแฟบางชนิด เช่น โรบัสต้า มีความเป็นกรดมากกว่าอาราบิก้า

      ✔ ผลกระทบ:
      • ระคายเคืองผนังกระเพาะอาหาร
      • ทำให้อาการกระเพาะอักเสบแย่ลง
      • กระตุ้นให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก

    วิธีดื่มกาแฟโดยไม่ทำให้กรดในกระเพาะเพิ่มขึ้น

    1. เลือกกาแฟที่มีกรดต่ำหรือกาแฟคั่วเข้ม กรดในกระเพาะอาหาร
      กาแฟคั่วเข้มมีความเป็นกรดต่ำกว่ากาแฟคั่วอ่อน เพราะผ่านการคั่วนานกว่า
      ทางเลือก: กาแฟ cold brew (ความเป็นกรดต่ำกว่า)
    2. หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟตอนท้องว่าง
      ดื่มกาแฟหลังมื้ออาหารจะช่วยลดโอกาสระคายเคืองกระเพาะอาหาร
      งดดื่มกาแฟก่อนนอน เพราะอาจทำให้อาการกรดไหลย้อนแย่ลง
    3. เติมนมหรือลินิน (อบเชย)
      นม (โดยเฉพาะนมอัลมอนด์หรือนมข้าวโอ๊ต) ช่วยกลางกรดได้
      อบเชยมีคุณสมบัติเป็นด่าง ช่วยลดความเป็นกรดของกาแฟ
    4. จำกัดปริมาณกาแฟ
      ดื่มไม่เกินวันละ 1-2 แก้ว
      หากอาการกรดไหลย้อนรุนแรง ควรเปลี่ยนไปดื่มชา เช่น ชาคาโมมายล์แทน

    สัญญาณที่ควรหยุดดื่มกาแฟ

    • แสบร้อนกลางอกเรื้อรัง
    • คลื่นไส้และอาเจียนหลังดื่มกาแฟ
    • เรอเปรี้ยวบ่อยครั้ง
    • กลืนอาหารลำบาก รู้สึกติดคอ

    ถ้าพบอาการเหล่านี้ควรหยุดดื่มกาแฟชั่วคราวและพบแพทย์

    เครื่องดื่มทางเลือกแทนกาแฟ

    • ชาขิง (ช่วยย่อยอาหาร)
    • กาแฟชิโครี่ (ไม่มีคาเฟอีน กรดต่ำ)
    • มัทฉะลาเต้ (อ่อนโยนต่อกระเพาะ)
    • น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว (ช่วยล้างพิษและปรับสมดุลกรดในกระเพาะ)

    สรุป: ฟังเสียงร่างกายของคุณ!

    ถึงกาแฟจะให้ความสุข แต่ถ้าทำให้กรดในกระเพาะเพิ่มขึ้น ก็ควรลดหรือเลิกดื่ม เลือกกาแฟชนิดที่ปลอดภัยและจัดการเวลาการดื่มให้เหมาะสม พร้อมใส่ใจอาการของร่างกาย หากอาการกรดไหลย้อนไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ทันที

    กาแฟชนิดไหนเสี่ยงน้อยกว่า?

    หากคุณยังอยากดื่มกาแฟโดยไม่กระตุ้นกรดในกระเพาะอาหาร มีตัวเลือกที่อาจเหมาะสมกว่า เช่น:

    • กาแฟดีแคฟ (Decaffeinated Coffee): กาแฟชนิดนี้ผ่านกระบวนการลดปริมาณคาเฟอีนลง ทำให้มีแนวโน้มกระตุ้นการหลั่งกรดน้อยลง โดยเฉพาะในผู้ที่มีความไวต่อคาเฟอีน
    • กาแฟคั่วเข้ม (Dark Roast): แม้ฟังดูขัดแย้ง แต่กาแฟคั่วเข้มอาจมีกรดน้อยกว่ากาแฟคั่วอ่อน จึงเหมาะกับคนที่ต้องการลดความเป็นกรดในเครื่องดื่ม
    • กาแฟแบบ Cold Brew: วิธีการชงแบบแช่เย็นยาวนานนี้มีแนวโน้มลดความเป็นกรดของกาแฟลงเมื่อเทียบกับการชงแบบร้อน

    การเลือกชนิดของกาแฟให้เหมาะสมจึงเป็นอีกแนวทางที่ช่วยให้คุณยังคงเพลิดเพลินกับการดื่ม โดยไม่กระทบกับระบบทางเดินอาหารมากนัก


    ใครบ้างที่ควรระวังเป็นพิเศษ?

    กลุ่มบุคคลต่อไปนี้ควรให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการบริโภคกาแฟ:

    • ผู้ที่มีภาวะกรดไหลย้อน (GERD): ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในปริมาณมาก เพราะอาการอาจรุนแรงขึ้น
    • ผู้สูงอายุ: ระบบย่อยอาหารอาจทำงานช้าลง และกล้ามเนื้อหูรูดอ่อนแรง ทำให้เสี่ยงต่อกรดไหลย้อนมากขึ้น
    • หญิงตั้งครรภ์: ไม่เพียงแค่ผลต่อกรดในกระเพาะ แต่อาจส่งผลต่อการดูดซึมสารอาหารและสุขภาพของทารก
    • ผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหาร: คาเฟอีนและความเป็นกรดของกาแฟอาจทำให้แผลระคายเคืองและหายช้าลง

    แนวทางการดูแลกระเพาะอาหารสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกาแฟ

    แม้คุณจะเป็นคนรักกาแฟ แต่ก็ยังสามารถดูแลกระเพาะอาหารให้แข็งแรงควบคู่กันได้ หากปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม ดังนี้:

    1. ไม่เร่งรีบดื่มทันทีหลังตื่นนอน
      ตอนเช้าระดับกรดในกระเพาะจะค่อนข้างสูงอยู่แล้ว หากเติมกาแฟเข้าไปทันที โดยเฉพาะในขณะท้องว่าง อาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะมากขึ้น ควรรับประทานอาหารเล็กน้อยก่อนดื่มกาแฟ
    2. หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟร่วมกับอาหารรสจัดหรือไขมันสูง
      อาหารประเภทนี้มักกระตุ้นการหลั่งกรดเพิ่มขึ้น หากรวมกับกาแฟอาจเพิ่มโอกาสเกิดกรดไหลย้อนหรือท้องอืดมากขึ้น
    3. ควบคุมความเครียด
      ความเครียดเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นกรดในกระเพาะ เมื่อรวมกับกาแฟซึ่งกระตุ้นระบบประสาท อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการไม่พึงประสงค์
    4. ไม่ควรดื่มกาแฟก่อนเข้านอน
      นอกจากจะรบกวนการนอนหลับแล้ว ยังอาจทำให้กรดไหลย้อนรุนแรงขึ้นขณะนอนราบ
    5. แบ่งกาแฟออกเป็นปริมาณน้อยในแต่ละครั้ง
      แทนที่จะดื่มครั้งละมากๆ อาจเปลี่ยนเป็นดื่มครั้งละเล็กน้อยแต่หลายช่วงเวลาระหว่างวัน จะช่วยลดแรงกระตุ้นต่อกระเพาะได้

    ทางเลือกอื่นแทนกาแฟเพื่อความสดชื่น

    หากคุณต้องการลดกาแฟลง แต่ยังคงต้องการความตื่นตัวในชีวิตประจำวัน ลองเลือกเครื่องดื่มหรือกิจกรรมต่อไปนี้:

    • ชาเขียวหรือชาขาว: มีคาเฟอีนในปริมาณน้อยและสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพ
    • น้ำอุ่นผสมมะนาว: กระตุ้นระบบย่อยอาหารและเพิ่มความสดชื่นยามเช้า
    • น้ำเปล่าเย็น ๆ: ปลุกความสดชื่นของร่างกายได้ดีโดยไม่กระทบกระเพาะ
    • การออกกำลังกายเบา ๆ: เช่น การยืดเหยียดหรือเดินเร็วในช่วงเช้า

    เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์?

    แม้ว่าการปรับพฤติกรรมการดื่มกาแฟจะช่วยลดอาการกรดไหลย้อนได้ในหลายกรณี แต่หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้อย่างต่อเนื่อง ควรพิจารณาไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยอย่างละเอียด:

    • อาการแสบร้อนกลางอกหรือจุกแน่นเป็นประจำเกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์
    • เรอบ่อยหรือมีรสเปรี้ยวขมในปากแม้ไม่ได้ดื่มกาแฟ
    • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
    • กลืนอาหารลำบากหรือเจ็บขณะกลืน
    • คลื่นไส้ อาเจียน หรือถ่ายเป็นเลือด

    อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคกรดไหลย้อนเรื้อรัง (GERD) หรือโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารอื่นๆ ที่ควรได้รับการตรวจและรักษาอย่างเหมาะสมโดยผู้เชี่ยวชาญ

    แนะนำพฤติกรรมเสริมเพื่อป้องกันกรดไหลย้อนนอกจากการลดกาแฟ

    แม้กาแฟจะเป็นหนึ่งในปัจจัยกระตุ้นกรดไหลย้อน แต่ยังมีพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่สามารถเสริมเพื่อช่วยลดความเสี่ยงและบรรเทาอาการได้ เช่น:

    1. หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ไขมันสูง และของทอด
      อาหารเหล่านี้จะชะลอการย่อยอาหารและเพิ่มโอกาสที่กรดจะไหลย้อนกลับสู่หลอดอาหารได้ง่ายขึ้น
    2. แบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อย่อยๆ
      การกินในปริมาณมากๆ ต่อมื้อจะทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนักและมีความดันในกระเพาะเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระตุ้นกรดไหลย้อน
    3. นั่งตัวตรงหลังรับประทานอาหารอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง
      การนอนหรือเอนตัวหลังอาหารทันทีจะเพิ่มความเสี่ยงที่กรดจะย้อนขึ้น เพราะแรงโน้มถ่วงไม่ช่วยพยุงอาหารให้อยู่ในกระเพาะ
    4. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
      น้ำหนักเกินโดยเฉพาะรอบเอว จะเพิ่มแรงดันในช่องท้องและทำให้กรดไหลย้อนเกิดบ่อยขึ้น
    5. หยุดสูบบุหรี่และลดแอลกอฮอล์
      ทั้งสองปัจจัยนี้สามารถทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารอ่อนแรง ซึ่งทำให้กรดย้อนขึ้นง่ายกว่าปกติ

    บทสรุป: ดื่มกาแฟอย่างรู้เท่าทัน เพื่อสุขภาพทางเดินอาหารที่ดี

    กาแฟอาจเป็นทั้งมิตรและศัตรูต่อระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะในผู้ที่มีแนวโน้มเป็นกรดไหลย้อนหรือมีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ความเข้าใจในผลกระทบของกาแฟต่อร่างกายตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ

    หากคุณเริ่มสังเกตว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดอาการไม่สบายท้อง แสบร้อน หรือเรอเปรี้ยว ควรพิจารณา:

    • ลดปริมาณการดื่มในแต่ละวัน
    • หลีกเลี่ยงการดื่มตอนท้องว่าง
    • เลือกกาแฟที่มีกรดต่ำหรือดีแคฟ
    • สังเกตชนิดของกาแฟและเวลาในการดื่มที่ร่างกายตอบสนองได้ดี
    • ปรึกษาแพทย์หากมีอาการเรื้อรังหรือรุนแรงขึ้น

    แนวทางดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืนสำหรับคนรักกาแฟ

    เพื่อให้การดื่มกาแฟไม่กลายเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพในระยะยาว โดยเฉพาะต่อระบบทางเดินอาหาร ควรยึดหลักปฏิบัติเหล่านี้ควบคู่ไปด้วย:

    • ฟังสัญญาณจากร่างกายเสมอ:
      หากหลังดื่มกาแฟมีอาการผิดปกติ เช่น แสบร้อนกลางอก แน่นท้อง หรือจุกเสียด ควรหยุดดื่มชั่วคราวและเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
    • ไม่พึ่งกาแฟเพื่อแก้ความเหนื่อยหรือความเครียด:
      กาแฟควรเป็นเครื่องดื่มที่ดื่มด้วยความเพลิดเพลิน ไม่ใช่ทางออกระยะสั้นเพื่อกลบความเหนื่อยล้า เพราะจะนำไปสู่การบริโภคเกินความจำเป็น และอาจเร่งปัญหาสุขภาพในอนาคต
    • ส่งเสริมการนอนหลับที่มีคุณภาพ:
      หากนอนหลับเพียงพอ ร่างกายจะตื่นตัวได้โดยไม่ต้องพึ่งคาเฟอีนมากนัก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการบริโภคเกินขนาด
    • เน้นการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่:
      อาหารที่สมดุลช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะและส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอย่างมีประสิทธิภาพ
    • หมั่นออกกำลังกาย:
      การเคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำช่วยเสริมระบบย่อยอาหารและทำให้ร่างกายตอบสนองต่อกาแฟดีขึ้น

    สาระสำคัญที่ควรจดจำ

    • กาแฟมีฤทธิ์กระตุ้นกรดในกระเพาะอาหาร และอาจทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อนในบางคน
    • พฤติกรรมการดื่มกาแฟมีผลต่อระบบทางเดินอาหารมากกว่าชนิดของกาแฟ
    • การปรับพฤติกรรมในการดื่มและการดูแลสุขภาพโดยรวมสามารถลดผลกระทบจากกาแฟได้
    • การหาความสมดุลระหว่างความสุขจากกาแฟกับสุขภาพของกระเพาะอาหาร คือทางเลือกที่ยั่งยืน

    ปิดท้าย: กาแฟ…ดื่มได้ แต่อย่าให้ร่างกายต้องจ่ายแพง

    กาแฟไม่ใช่สิ่งที่ “ผิด” แต่การดื่มโดยไม่รู้เท่าทันอาจนำไปสู่ผลเสียโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเรื่องกรดไหลย้อนหรือปัญหากระเพาะอาหารอื่นๆ ซึ่งมักเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และรุนแรงมากขึ้นหากไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่เนิ่นๆ

    การใส่ใจต่ออาการเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นหลังดื่มกาแฟ เช่น จุกแน่น แสบร้อนกลางอก หรือเรอเปรี้ยว อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่เตือนให้คุณหันมาใส่ใจสุขภาพทางเดินอาหารของตนเองมากขึ้น

    จำไว้ว่าความสุขจากกาแฟแก้วเดียว ไม่ควรต้องแลกกับความทุกข์จากสุขภาพที่ย่ำแย่ในระยะยาว

    หากคุณรักการดื่มกาแฟ ก็จงรักด้วยความรู้ ความเข้าใจ และรู้จักจุดที่ควร “พอ” เพื่อให้กาแฟเป็นสิ่งที่เสริมชีวิต ไม่ใช่บ่อนทำลายสุขภาพในอนาคต.

    คำแนะนำสุดท้ายสำหรับผู้ที่ไม่อยากเลิกกาแฟ

    หากคุณรู้สึกว่าการดื่มกาแฟคือส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ขาดไม่ได้ แต่อยากหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อกระเพาะอาหารและกรดไหลย้อน นี่คือแนวทางปฏิบัติแบบเป็นรูปธรรมที่สามารถเริ่มทำได้ทันที:

    1. จำกัดปริมาณไม่เกิน 1-2 แก้วต่อวัน
      ปริมาณคาเฟอีนไม่ควรเกิน 200-400 มก. ต่อวัน เพื่อไม่ให้กระตุ้นกรดในกระเพาะมากเกินไป
    2. เลือกกาแฟที่มีค่าความเป็นกรดต่ำ (Low-Acidity Coffee)
      เช่น กาแฟสายพันธุ์บราซิล, ซูมาทรา หรือกาแฟที่ผ่านการคั่วเข้ม ซึ่งโดยทั่วไปจะมีความเป็นกรดต่ำกว่ากาแฟคั่วอ่อน
    3. งดเติมน้ำตาลและครีมเทียมที่มีไขมันสูง
      เพราะไขมันและน้ำตาลสามารถกระตุ้นการหลั่งกรดและทำให้ย่อยยาก ควรเลือกนมพืชที่ไม่เติมน้ำตาลแทน
    4. หยุดดื่มทันทีหากเริ่มรู้สึกผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร
      อย่าฝืน เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังหรือปัญหาในระยะยาวได้
    5. อย่าดื่มกาแฟเพื่อทดแทนน้ำเปล่า
      เพราะกาแฟมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ และอาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ควรดื่มน้ำเปล่าควบคู่กันตลอดทั้งวัน

    กาแฟ…ไม่ใช่ต้นเหตุ แต่คือปัจจัยกระตุ้น

    ในความเป็นจริงแล้ว กาแฟไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงของกรดไหลย้อนในทุกคน แต่เป็นเพียง “ปัจจัยกระตุ้น” ที่อาจส่งผลรุนแรงขึ้นหากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยงอื่นร่วมด้วย เช่น การนอนทันทีหลังอาหาร ความเครียดสูง หรือการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา

    ดังนั้น หากคุณสามารถควบคุมปัจจัยเสี่ยงร่วมอื่นๆ ได้ พร้อมทั้งปรับรูปแบบการดื่มกาแฟให้เหมาะสม กาแฟก็สามารถเป็นเครื่องดื่มที่อยู่ในชีวิตคุณได้ต่อไปอย่างปลอดภัยและไม่กระทบต่อสุขภาพทางเดินอาหาร

    กรดในกระเพาะอาหารขึ้น? กาแฟอาจเป็นสาเหตุ!
    Justin Mitchell

    Related Posts

    ท่องเที่ยวในฝันที่อียิปต์: จากแม่น้ำไนล์สู่ ทะเลแดง

    June 27, 2025

    แคมป์ปิ้งท่ามกลางธรรมชาติ พักผ่อน วันหยุด

    June 26, 2025

    วันหยุดฤดูหนาวในญี่ปุ่น หิมะ ออนเซ็น และอาหาร

    June 25, 2025

    Comments are closed.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.