Close Menu
    Facebook X (Twitter) Instagram
    saothaiduongonline
    • Home
    • ความบันเทิง
    • ข่าวสารล่าสุด
    • สุขภาพ
    • สูตรอาหาร
    saothaiduongonline
    สุขภาพ

    การเข้าใจอาการและสัญญาณของพิษ งู

    Justin MitchellBy Justin MitchellSeptember 13, 2025No Comments3 Mins Read

    งู เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่พบได้ทั่วไปในหลายภูมิภาคของโลก รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความหลากหลายของชนิดงู ทั้งงูที่มีพิษร้ายแรงและงูที่ไม่มีพิษ การถูกงูกัดถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการดูแลอย่างรวดเร็ว เพราะพิษงูสามารถทำลายระบบประสาท ระบบเลือด และอวัยวะสำคัญของร่างกายได้ การเข้าใจอาการและสัญญาณของพิษงูจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้สามารถประเมินสถานการณ์ได้อย่างถูกต้องและนำไปสู่การรักษาที่เหมาะสม


    ประเภทของพิษงู

    พิษงูมีคุณสมบัติแตกต่างกันไปตามชนิดของงู โดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ

    1. พิษต่อระบบประสาท (Neurotoxic venom)
      พบได้ในงูเห่า งูจงอาง หรืองูทะเล พิษประเภทนี้ส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและอาจหยุดหายใจ
    2. พิษต่อระบบเลือด (Hemotoxic venom)
      พบในงูแมวเซา งูกะปะ หรืองูเขียวหางไหม้ พิษชนิดนี้ทำให้เลือดไม่สามารถแข็งตัวได้ตามปกติ และอาจทำให้เกิดเลือดออกภายในร่างกาย
    3. พิษต่อกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ (Cytotoxic venom)
      พบในงูเขียวหางไหม้หรืองูบางชนิด พิษชนิดนี้ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อบริเวณที่ถูกกัด ทำให้เกิดอาการบวม แผลเน่า หรือการสูญเสียเนื้อเยื่อ

    บางชนิดของงูอาจมีพิษผสมกันหลายรูปแบบ ทำให้เกิดอาการทั้งด้านประสาท เลือด และเนื้อเยื่อพร้อมกัน


    อาการทั่วไปของการถูกงูกัด

    ไม่ใช่ทุกการถูกงูกัดที่จะมีพิษเสมอไป เนื่องจากงูบางครั้งอาจกัดแบบ “ไม่ปล่อยพิษ” (dry bite) แต่หากพิษเข้าสู่ร่างกาย อาการที่มักพบมีดังนี้

    1. อาการเฉพาะที่ (Local symptoms)
      • ปวด บวม แดง และกดเจ็บบริเวณที่ถูกกัด
      • มีรอยเขี้ยวชัดเจน 1–2 รอย
      • ในบางกรณีอาจเกิดพุพองหรือเนื้อตาย
    2. อาการทั่วร่างกาย (Systemic symptoms)
      ขึ้นอยู่กับชนิดของพิษงู เช่น
      • เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
      • อ่อนแรงของกล้ามเนื้อ หนังตาตก พูดไม่ชัด กลืนลำบาก
      • หายใจลำบากเนื่องจากกล้ามเนื้อหายใจอ่อนแรง
      • เลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดออกตามไรฟัน เลือดออกใต้ผิวหนัง ปัสสาวะเป็นเลือด
      • ช็อก หมดสติ หรืออวัยวะล้มเหลว

    การแยกแยะอาการตามชนิดพิษงู

    1. พิษต่อระบบประสาท

    • หนังตาตก กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง
    • พูดไม่ชัด เสียงเปลี่ยน
    • กลืนลำบาก หายใจติดขัด
    • หากไม่ได้รับการรักษา อาจหยุดหายใจและเสียชีวิต

    2. พิษต่อระบบเลือด

    • เลือดออกง่ายตามไรฟันหรือบาดแผล
    • จุดเลือดออกใต้ผิวหนังหรือรอยช้ำ
    • เลือดกำเดาไหลหรือปัสสาวะปนเลือด
    • ภาวะเลือดออกภายใน อาจทำให้เกิดอันตรายรุนแรง

    3. พิษต่อเนื้อเยื่อ

    • บวมมากบริเวณที่ถูกกัด และลุกลามอย่างรวดเร็ว
    • ปวดแสบปวดร้อน
    • แผลพุพองหรือติดเชื้อ
    • เนื้อเยื่อเน่า อาจต้องผ่าตัดเอาออก

    ปัจจัยที่มีผลต่อความรุนแรงของอาการ

    ความรุนแรงของอาการพิษงูขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น

    • ชนิดของงู งูแต่ละสายพันธุ์มีพิษแตกต่างกัน
    • ปริมาณพิษที่เข้าสู่ร่างกาย หากงูปล่อยพิษมาก อาการจะรุนแรงขึ้น
    • ตำแหน่งที่ถูกกัด บริเวณใกล้เส้นเลือดใหญ่หรือศีรษะและลำตัวมักมีอันตรายมากกว่ามือหรือเท้า
    • อายุและสุขภาพของผู้ถูกกัด เด็ก คนชรา และผู้ที่มีโรคประจำตัวอาจมีความเสี่ยงสูง
    • การดูแลหลังถูกกัด หากได้รับการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องและส่งโรงพยาบาลเร็ว โอกาสรอดชีวิตจะสูงขึ้น

    ขั้นตอนการสังเกตอาการหลังถูกงูกัด

    1. ตรวจรอยกัด ดูว่ามีรอยเขี้ยวชัดหรือไม่
    2. ประเมินอาการเฉพาะที่ เช่น การบวมแดงและการลุกลามของอาการ
    3. เฝ้าระวังอาการทั่วร่างกาย เช่น หนังตาตก เลือดออกผิดปกติ หรือหายใจลำบาก
    4. บันทึกเวลา เพื่อแจ้งแพทย์ เนื่องจากการประเมินการลุกลามของอาการต้องอาศัยข้อมูลเวลา

    การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อถูกงูกัด

    แม้บทความนี้เน้นการเข้าใจอาการ แต่การรู้วิธีปฐมพยาบาลก็มีความสำคัญเช่นกัน

    1. ทำให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่สงบและไม่เคลื่อนไหวมาก เพื่อลดการกระจายของพิษ
    2. ใช้ผ้าพันรัดเหนือบริเวณที่ถูกกัด หากเป็นงูที่มีพิษต่อระบบประสาท แต่ต้องไม่รัดจนเลือดไม่ไหล
    3. ห้ามกรีดแผล ดูดพิษ หรือใช้น้ำแข็งประคบ
    4. ถอดเครื่องประดับหรือเสื้อผ้าที่รัดแน่นในบริเวณใกล้เคียง
    5. รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด พร้อมแจ้งข้อมูลที่จำได้เกี่ยวกับงู

    ความสำคัญของการสังเกตอาการ

    • ช่วยวินิจฉัย แพทย์จะใช้ข้อมูลอาการเพื่อพิจารณาว่าผู้ป่วยได้รับพิษชนิดใด
    • ช่วยกำหนดการรักษา เช่น การให้เซรุ่มแก้พิษงูเฉพาะชนิด
    • ช่วยลดความเสี่ยง หากสังเกตอาการได้เร็ว จะได้รับการรักษาทันท่วงที

    การป้องกันการถูกงูกัด

    แม้ว่าการเข้าใจอาการพิษงูจะสำคัญ แต่การป้องกันไม่ให้เกิดเหตุก็สำคัญกว่า

    • หลีกเลี่ยงการเดินเข้าไปในพุ่มไม้หรือทุ่งหญ้าโดยไม่สวมรองเท้าบูท
    • ใช้ไฟฉายเมื่อเดินในที่มืด
    • ไม่พยายามจับหรือรบกวนงู
    • เก็บกวาดบริเวณบ้านให้สะอาด เพื่อลดแหล่งหลบซ่อนของงู

    ตัวอย่างกรณีศึกษา

    เพื่อให้เข้าใจความร้ายแรงของพิษงูมากขึ้น สามารถยกตัวอย่างจากสถานการณ์จริง เช่น

    • กรณีงูเห่ากัดในพื้นที่ชนบท
      ผู้ป่วยชายอายุ 35 ปี ถูกงูเห่ากัดที่ขา ระยะแรกมีเพียงอาการบวมและปวดบริเวณแผล แต่ภายใน 1 ชั่วโมงเริ่มมีอาการหนังตาตก พูดไม่ชัด และหายใจลำบาก ครอบครัวรีบนำส่งโรงพยาบาลและได้รับเซรุ่มแก้พิษงูทันเวลา ทำให้รอดชีวิต
    • กรณีงูกะปะกัดในสวนยางพารา
      หญิงวัย 40 ปีถูกงูกะปะกัดที่มือ หลังจากนั้น 2 ชั่วโมงมีอาการบวมมากและเลือดออกตามไรฟัน แพทย์ตรวจพบว่าระบบการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ต้องให้เซรุ่มแก้พิษและเลือดเพื่อแก้ไขภาวะเลือดออก
    • กรณีงูเขียวหางไหม้กัด
      ชายหนุ่มวัย 20 ปี ถูกงูเขียวหางไหม้กัดที่ข้อเท้า มีอาการบวมแดงลามรวดเร็วและปวดแสบมาก แม้ไม่มีอาการระบบประสาท แต่เนื้อเยื่อบริเวณนั้นเริ่มตาย แพทย์จึงต้องผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่เสียหายออก

    กรณีเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอาการและสัญญาณพิษงูแตกต่างกันตามชนิดของงู การสังเกตและการเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดการสูญเสียชีวิตและอวัยวะ


    ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับพิษงู

    1. การดูดพิษออกจากแผลช่วยได้
      ความจริงคือ การดูดพิษด้วยปากอาจทำให้พิษเข้าสู่ร่างกายของผู้ช่วยเหลือและไม่สามารถกำจัดพิษออกจากแผลได้ทั้งหมด
    2. การใช้ยาสมุนไพรแทนการรักษาในโรงพยาบาล
      สมุนไพรบางชนิดอาจช่วยลดอาการปวดหรืออักเสบ แต่ไม่สามารถแก้พิษงูได้ จำเป็นต้องใช้เซรุ่มแก้พิษงูที่เหมาะสมเท่านั้น
    3. ไม่เจ็บมากแปลว่าไม่อันตราย
      อาการพิษบางชนิด เช่น พิษต่อระบบประสาท อาจไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดที่แผลมาก แต่กลับอันตรายเพราะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและหยุดหายใจได้
    4. งูตัวเล็กไม่มีพิษ
      งูขนาดเล็กหลายชนิดยังคงมีพิษที่ร้ายแรงพอ ๆ กับงูโต และอาจปล่อยพิษได้มากกว่าด้วยซ้ำ

    การรักษาในโรงพยาบาล

    เมื่อผู้ป่วยถูกส่งถึงโรงพยาบาล แพทย์จะทำการประเมินและรักษาตามขั้นตอนดังนี้

    1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย
      แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับเวลาที่ถูกกัด ลักษณะของงู และอาการที่เกิดขึ้น พร้อมตรวจร่างกายเพื่อประเมินการลุกลามของพิษ
    2. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
      • ตรวจการแข็งตัวของเลือด
      • ตรวจการทำงานของไตและตับ
      • ตรวจปัสสาวะหาเลือดหรือสารผิดปกติ
    3. การให้เซรุ่มแก้พิษงู (Antivenom)
      เป็นการรักษาหลัก โดยแพทย์จะเลือกเซรุ่มที่เหมาะสมกับชนิดงูหรืออาการของผู้ป่วย
    4. การดูแลประคับประคอง
      • ให้สารน้ำทางหลอดเลือด
      • ช่วยหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจหากกล้ามเนื้อหายใจล้มเหลว
      • ให้เลือดหรือส่วนประกอบของเลือดหากมีภาวะเลือดออกมาก
    5. การรักษาภาวะแทรกซ้อน
      เช่น การผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่เน่าออก หรือการรักษาการติดเชื้อรองลงมา

    บทบาทของชุมชนในการรับมือพิษงู

    • การให้ความรู้ ประชาชนควรได้รับการอบรมเกี่ยวกับการป้องกันและการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อถูกงูกัด
    • การจัดเตรียมอุปกรณ์ เช่น การมีชุดปฐมพยาบาลและอุปกรณ์เคลื่อนย้ายผู้ป่วยในหมู่บ้าน
    • การประสานงานกับโรงพยาบาล เพื่อให้การส่งต่อผู้ป่วยเป็นไปอย่างรวดเร็ว

    ความก้าวหน้าในการวิจัยและการป้องกัน

    ปัจจุบันมีการวิจัยเกี่ยวกับพิษงูและวิธีรักษาใหม่ ๆ เช่น

    • เซรุ่มแก้พิษงูแบบกว้าง (Polyvalent antivenom) ที่ใช้รักษาพิษงูได้หลายชนิด ลดปัญหาการระบุชนิดงูไม่ได้
    • การพัฒนายาต้านพิษสังเคราะห์ ที่อาจใช้แทนเซรุ่มในอนาคต
    • การให้ความรู้ผ่านเทคโนโลยี เช่น แอปพลิเคชันที่ช่วยแนะนำการปฐมพยาบาลและระบุโรงพยาบาลที่มีเซรุ่มใกล้ที่สุด

    เช็กลิสต์การรับมือเมื่อถูกงูกัด

    เพื่อให้จดจำง่ายและนำไปใช้ได้จริง หากเกิดเหตุฉุกเฉินจากการถูกงูกัด ควรปฏิบัติตามเช็กลิสต์ดังนี้

    สิ่งที่ควรทำ

    1. ตั้งสติและทำให้ผู้ป่วยสงบ ลดการเคลื่อนไหวเพื่อชะลอการกระจายพิษ
    2. จัดท่าผู้ป่วยให้สบาย โดยให้อวัยวะที่ถูกกัดอยู่นิ่งที่สุด
    3. ถอดเครื่องประดับหรือเสื้อผ้าที่รัดแน่น รอบบริเวณที่ถูกกัด
    4. พันกดเหนือบาดแผลเบา ๆ หากสงสัยว่าเป็นงูที่มีพิษต่อระบบประสาท เช่น งูเห่า งูจงอาง
    5. ทำเครื่องหมายเวลาที่ถูกกัดและเวลาที่เริ่มมีอาการ เพื่อช่วยแพทย์ประเมิน
    6. รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล โดยเร็วที่สุด

    สิ่งที่ไม่ควรทำ

    1. ห้ามกรีดแผลหรือใช้มีดคว้านพิษออก
    2. ห้ามใช้ปากดูดพิษ เพราะอาจทำให้พิษเข้าสู่ร่างกายผู้ช่วยเหลือ
    3. ห้ามใช้สายรัดแน่นเกินไปจนเลือดไม่สามารถไหลเวียนได้
    4. ห้ามดื่มแอลกอฮอล์หรือกาแฟ เพราะจะกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
    5. ห้ามพยายามจับงูหรือฆ่างูด้วยตนเอง เพราะอาจเกิดอันตรายซ้ำ

    การสังเกตอาการอย่างต่อเนื่อง

    หลังถูกงูกัด แม้ผู้ป่วยจะไม่มีอาการรุนแรงในช่วงแรก แต่พิษอาจแสดงผลล่าช้า การเฝ้าสังเกตเป็นสิ่งจำเป็น

    • ตรวจสอบการบวมของแผลทุก 15–30 นาที
    • เฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของสีผิวและอาการปวด
    • สังเกตสัญญาณของระบบประสาท เช่น หนังตาตก พูดไม่ชัด
    • สังเกตอาการเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล ปัสสาวะเป็นเลือด
    • หากพบอาการใหม่หรืออาการรุนแรงขึ้น ควรแจ้งแพทย์ทันที

    การฟื้นฟูหลังการรักษา

    เมื่อผู้ป่วยผ่านพ้นระยะวิกฤต การฟื้นฟูร่างกายก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน

    1. การพักฟื้นเนื้อเยื่อ หากมีการผ่าตัดหรือเนื้อตาย ต้องดูแลแผลอย่างสะอาดและต่อเนื่อง
    2. การฟื้นฟูกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหว บางรายอาจต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อให้กลับมาใช้งานอวัยวะได้ปกติ
    3. การติดตามผลเลือดและการทำงานของอวัยวะ โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับพิษต่อระบบเลือดและไต
    4. การดูแลสุขภาพจิต ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดความกลัวหรือวิตกกังวลหลังเผชิญเหตุการณ์รุนแรง

    การเสริมสร้างความรู้ในสังคม

    เพื่อป้องกันการสูญเสียจากพิษงู จำเป็นต้องมีการเผยแพร่ความรู้ให้แก่สาธารณชนอย่างต่อเนื่อง

    • โรงเรียน ควรสอนนักเรียนเรื่องการป้องกันงูกัดและการปฐมพยาบาล
    • หน่วยงานสาธารณสุข ควรจัดอบรมชุมชน โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง
    • สื่อสารมวลชน มีบทบาทในการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง ลดความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการรักษาพิษงู
    • ชาวบ้าน ควรมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและช่วยเหลือกันเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

    แนวทางการป้องกันระยะยาวจากพิษงู

    การป้องกันไม่ให้เกิดการถูกงูกัดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงอันตรายร้ายแรง โดยสามารถทำได้ทั้งในระดับบุคคลและชุมชน

    ระดับบุคคล

    1. สวมใส่เครื่องป้องกัน เช่น รองเท้าบูทและกางเกงขายาวเมื่อต้องเดินป่า ทำไร่ หรือทำงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง
    2. ใช้ไฟฉายเมื่อต้องเดินในที่มืด เพราะงูมักออกหากินตอนกลางคืน
    3. ไม่พยายามจับหรือรบกวนงู แม้งูจะมีขนาดเล็กหรือดูเหมือนไม่อันตราย
    4. จัดเก็บอาหารและสิ่งของอย่างมิดชิด เพื่อลดการดึงดูดหนู ซึ่งเป็นอาหารของงู
    5. เรียนรู้ทักษะปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อช่วยเหลือตนเองหรือผู้อื่นเมื่อเกิดเหตุ

    ระดับชุมชน

    1. กำจัดวัชพืชและเศษไม้ รอบหมู่บ้านหรือตามบ้านเรือน เพื่อลดที่หลบซ่อนของงู
    2. จัดโครงการอบรมและให้ความรู้ เกี่ยวกับการป้องกันและการช่วยเหลือเมื่อถูกงูกัด
    3. ประสานงานกับโรงพยาบาลท้องถิ่น เพื่อให้มั่นใจว่ามีเซรุ่มแก้พิษงูเพียงพอและเข้าถึงได้ง่าย
    4. สร้างระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินในหมู่บ้าน เพื่อให้การส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลเป็นไปอย่างรวดเร็ว

    การเปรียบเทียบพิษงูกับภาวะฉุกเฉินอื่น ๆ

    พิษงูถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่คล้ายกับอุบัติเหตุหรือโรคเฉียบพลัน เช่น หัวใจวายหรืออัมพาตเฉียบพลัน ความแตกต่างคือพิษงูสามารถหลีกเลี่ยงได้หากมีการป้องกันที่ดี การเข้าใจสัญญาณเตือนและปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องจึงเปรียบเสมือน “เกราะป้องกันชีวิต”


    ข้อคิดสำคัญสำหรับประชาชน

    1. เวลาเป็นสิ่งมีค่า ยิ่งรีบไปโรงพยาบาลเร็ว โอกาสรอดชีวิตยิ่งสูง
    2. ความรู้คือพลัง หากเข้าใจอาการและสัญญาณของพิษงู จะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างถูกวิธี
    3. การป้องกันดีกว่าการรักษา การใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและเตรียมความพร้อมสามารถช่วยหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ร้ายแรงได้

    บทสรุปเชิงลึก

    พิษงูเป็นภัยเงียบที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือพื้นที่ป่าเขา ความรู้เรื่องอาการและสัญญาณของพิษงูไม่เพียงแต่ช่วยในการช่วยเหลือผู้ป่วย แต่ยังช่วยให้สังคมมีความตระหนักและเตรียมพร้อมมากขึ้น อาการสำคัญที่ควรจับตามอง ได้แก่ บวมและปวดเฉพาะที่ หนังตาตก พูดไม่ชัด หายใจลำบาก และอาการเลือดออกผิดปกติ การปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง การสังเกตอาการอย่างต่อเนื่อง และการรีบนำส่งโรงพยาบาล คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยชีวิต

    ในระยะยาว การให้ความรู้ การสร้างความร่วมมือในชุมชน และการมีระบบการแพทย์ที่พร้อมรับมือ จะช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตและผลกระทบจากพิษงูได้อย่างมีนัยสำคัญ หากประชาชนทุกคนตระหนักและปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง การอยู่ร่วมกับธรรมชาติและงูจะเป็นไปอย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น

    การเข้าใจอาการและสัญญาณของพิษ งู ความสำคัญของแคลเซียมและวิตามินดีต่อกระดูกที่แข็งแรง ตลาดนัดสวนจตุจักร: สวรรค์แห่งการช้อปปิ้งสูงสุดของ กรุงเทพฯ วัดพระธาตุดอยสุเทพ: สัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณของเชียงใหม่
    Justin Mitchell

    Related Posts

    สลัด มะม่วงดิบสไตล์ไทย: มื้อเบา ๆ ที่สดชื่นสำหรับคนอยากลดน้ำหนัก

    September 19, 2025

    Patatas Bravas: ความอร่อย เผ็ด ร้อนจากสเปน

    September 18, 2025

    เมื่อใดควรขอความช่วยเหลือทางการแพทย์หลังถูก ผึ้ง ต่อย?

    September 12, 2025

    Comments are closed.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.