อาการเจ็บ คอ เป็นสิ่งที่หลายคนเคยเผชิญ ไม่ว่าจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัสทั่วไปหรือการอักเสบของต่อมทอนซิล แต่ในบางกรณี หากการติดเชื้อไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม อาจลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น หนึ่งในนั้นคือ ฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิล (Peritonsillar Abscess) ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ อาจนำไปสู่ภาวะอันตราย เช่น การอุดกั้นทางเดินหายใจ การแพร่กระจายของเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด หรือการติดเชื้อที่ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น
ฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิลคืออะไร

ฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิล คือ การสะสมของหนองที่เกิดขึ้นบริเวณเนื้อเยื่อรอบ ๆ ต่อมทอนซิล มักเกิดเป็นผลสืบเนื่องจากการอักเสบของต่อมทอนซิลที่รุนแรงหรือไม่ได้รับการรักษา เชื้อโรคที่พบบ่อยคือแบคทีเรียกลุ่ม สเตรปโตค็อกคัส (Streptococcus pyogenes) และอาจร่วมกับเชื้อชนิดอื่น
ภาวะนี้พบได้บ่อยในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ หากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือมีปัจจัยเสี่ยงร่วม
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
- การติดเชื้อแบคทีเรียในต่อมทอนซิล ที่ไม่ได้รับการรักษาหรือใช้ยาปฏิชีวนะไม่ครบตามกำหนด
- โรคทอนซิลอักเสบเรื้อรัง ทำให้เชื้อสะสมและมีโอกาสลุกลาม
- สุขอนามัยในช่องปากไม่ดี ทำให้เชื้อโรคเติบโตได้ง่าย
- ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ เครียดเรื้อรัง หรือมีโรคประจำตัว
- ประวัติการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งทำให้เยื่อบุช่องปากและลำคออ่อนแอ
อาการของฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิล
อาการของผู้ป่วยมักรุนแรงกว่าอาการทอนซิลอักเสบทั่วไป และควรสังเกตดังนี้
- เจ็บคอมาก โดยเฉพาะข้างที่เกิดฝี
- กลืนลำบากและเจ็บมากขึ้นเมื่อกลืนอาหารหรือน้ำ
- พูดเสียงอู้อี้หรือเสียงเปลี่ยนไป คล้ายมีอะไรอุดกั้นในลำคอ (เรียกว่า Hot Potato Voice)
- น้ำลายไหล ไม่สามารถกลืนน้ำลายได้
- มีไข้สูง หนาวสั่น อ่อนเพลีย
- ปากเหม็นจากการติดเชื้อ
- ปวดหูข้างเดียว เนื่องจากความเจ็บร้าว
- กรามแข็ง อ้าปากลำบาก (Trismus)
- ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอโตและเจ็บ
- ในบางกรณีอาจหายใจลำบากหากฝีมีขนาดใหญ่
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิลสามารถนำไปสู่ปัญหาร้ายแรง ได้แก่
- การอุดกั้นทางเดินหายใจ
ฝีที่โตขึ้นอาจกดทับหลอดลม ทำให้หายใจลำบาก และเสี่ยงต่อการขาดออกซิเจน - การแพร่กระจายของเชื้อ
เชื้อแบคทีเรียสามารถเข้าสู่กระแสเลือด ก่อให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ซึ่งอันตรายถึงชีวิต - การลุกลามไปยังเนื้อเยื่อรอบคอ
การติดเชื้ออาจกระจายไปยังโพรงด้านหลังคอ (Retropharyngeal abscess) หรือช่องอก (Mediastinitis) - การติดเชื้อเรื้อรัง
หากไม่ได้กำจัดฝีอย่างถูกต้อง เชื้ออาจคงอยู่และทำให้เกิดการอักเสบซ้ำ ๆ
การวินิจฉัย
แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยพิจารณาจากประวัติและการตรวจร่างกาย โดยมีขั้นตอนดังนี้
- การตรวจในช่องปากและลำคอ พบว่าต่อมทอนซิลบวมและเบียดเข้าหากลางคอ เยื่อบุอาจแดงและมีหนอง
- การคลำคอ เพื่อตรวจต่อมน้ำเหลืองและความเจ็บ
- การตรวจเลือด เพื่อดูการติดเชื้อ
- การตรวจภาพถ่าย (CT Scan หรืออัลตราซาวด์) ในกรณีที่ไม่แน่ใจหรือฝีอยู่ลึก
- การเจาะดูดหนอง เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและตรวจหาเชื้อ
การรักษา
การรักษาฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิลจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ โดยแนวทางหลักได้แก่
- การให้ยาปฏิชีวนะ
ใช้ยาที่ครอบคลุมเชื้อแบคทีเรียกลุ่มแกรมบวกและแกรมลบ รวมถึงเชื้อไม่ใช้ออกซิเจน - การระบายน้ำหนอง (Drainage)
วิธีการอาจเป็น- การเจาะดูดหนอง
- การกรีดเปิดเพื่อระบาย
- การผ่าตัดนำต่อมทอนซิลออกในกรณีที่เป็นซ้ำบ่อยหรือฝีมีขนาดใหญ่
- การรักษาตามอาการ
เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวด การให้สารน้ำหากกลืนไม่ได้ - การติดตามอาการ
ผู้ป่วยจำเป็นต้องติดตามกับแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
การป้องกัน
แม้ฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิลจะเป็นภาวะรุนแรง แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม ได้แก่
- รักษาอาการเจ็บคอและทอนซิลอักเสบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
- ใช้ยาปฏิชีวนะให้ครบตามแพทย์สั่ง
- ดูแลสุขภาพช่องปากให้สะอาด
- พักผ่อนเพียงพอ เสริมภูมิคุ้มกันด้วยโภชนาการที่ดี
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
แนวทางดูแลตนเองหลังการรักษา
เมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิลแล้ว ไม่ว่าจะด้วยการเจาะดูดหนอง การกรีดเปิด หรือการผ่าตัด จำเป็นต้องมีการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อฟื้นฟูร่างกายและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ได้แก่
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างครบถ้วน
ยาปฏิชีวนะต้องรับประทานให้ครบ แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะหากหยุดยาเอง เชื้ออาจยังคงอยู่และทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำ - พักผ่อนเพียงพอ
ร่างกายต้องการเวลาในการฟื้นฟู ควรนอนหลับให้ได้วันละ 7–8 ชั่วโมง - ดื่มน้ำมาก ๆ
น้ำช่วยให้เยื่อบุคอชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง และช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น - เลือกรับประทานอาหารอ่อน
อาหารที่นิ่มและกลืนง่าย เช่น โจ๊ก ซุป หรือโยเกิร์ต จะช่วยลดความเจ็บปวดขณะกลืน - หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคือง
เช่น ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ และอาหารรสจัด เพราะอาจกระตุ้นการอักเสบซ้ำ - ดูแลสุขภาพช่องปาก
แปรงฟันและบ้วนปากหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย
สัญญาณอันตรายที่ควรรีบพบแพทย์ทันที
หลังการรักษา หากพบอาการเหล่านี้ ผู้ป่วยควรกลับไปพบแพทย์โดยเร็ว เนื่องจากอาจบ่งชี้ถึงการกลับมาเป็นซ้ำหรือภาวะแทรกซ้อน
- มีอาการเจ็บคอรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
- กลืนลำบากจนไม่สามารถรับประทานน้ำหรืออาหารได้
- พูดเสียงเปลี่ยนหรือเสียงอู้อี้ชัดเจน
- หายใจลำบากหรือมีเสียงหายใจผิดปกติ
- มีไข้สูง หนาวสั่น ไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้
- ปวดและบวมบริเวณคอมากขึ้น
- รู้สึกอ่อนแรง หน้ามืด หรือสงสัยว่ามีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
การมองในระยะยาว
แม้ว่าฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิลจะเป็นภาวะรุนแรง แต่หากผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา โอกาสในการหายเป็นปกติจะสูงมาก อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีอาการทอนซิลอักเสบซ้ำบ่อย แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดต่อมทอนซิลออก เพื่อป้องกันการกลับมาเกิดฝีอีก
การใส่ใจสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการเจ็บคอรุนแรง ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายและรักษาคุณภาพชีวิตในระยะยาว
การป้องกันฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิลในชีวิตประจำวัน
แม้ว่าการรักษาจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยหายได้ แต่การป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นตั้งแต่แรกย่อมดีกว่า วิธีการที่สามารถช่วยลดความเสี่ยง ได้แก่
- รักษาความสะอาดของช่องปาก
การแปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน และบ้วนปากหลังรับประทานอาหาร จะช่วยลดการสะสมของเชื้อโรค - ดื่มน้ำมาก ๆ
น้ำช่วยให้เยื่อบุในคอชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี - งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
ทั้งสองอย่างนี้สามารถทำลายเยื่อบุคอ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น - ดูแลสุขภาพร่างกายโดยรวม
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนเพียงพอ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน - เข้าพบแพทย์เมื่อเจ็บคอรุนแรง
หากมีอาการเจ็บคอที่ไม่ดีขึ้นภายใน 2–3 วัน หรือมีไข้สูง ควรรีบตรวจรักษา ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวัง
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสเกิดฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิล แต่บางกลุ่มมีความเสี่ยงมากกว่า ได้แก่
- ผู้ที่มีประวัติทอนซิลอักเสบบ่อย ๆ
การอักเสบซ้ำ ๆ ทำให้ต่อมทอนซิลอ่อนแอและมีโอกาสติดเชื้อรุนแรงได้ - วัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว
งานวิจัยพบว่ากลุ่มอายุ 15–30 ปี มักพบภาวะนี้บ่อยกว่ากลุ่มอื่น - ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่ใช้ยากดภูมิ หรือผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ - ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ
ควันบุหรี่ทำลายเยื่อบุคอและลดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
ข้อคิดส่งท้าย
ฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิลอาจเริ่มจากอาการเจ็บคอธรรมดา แต่หากละเลยการดูแลหรือปล่อยให้ติดเชื้อรุนแรงขึ้น ก็สามารถกลายเป็นโรคที่อันตรายได้ การป้องกันด้วยการรักษาสุขภาพช่องปาก การใส่ใจเมื่อมีอาการเจ็บคอ และการพบแพทย์ทันทีเมื่อสงสัยว่ามีอาการผิดปกติ จะช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงนี้ได้
ดังนั้น อย่ามองข้ามอาการเจ็บคอที่รุนแรงหรือมีไข้สูง เพราะอาจไม่ใช่แค่ “เจ็บคอธรรมดา” แต่เป็นสัญญาณเตือนของภาวะที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพื่อให้คุณกลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงและปลอดภัยในระยะยาว