Close Menu
    Facebook X (Twitter) Instagram
    saothaiduongonline
    • Home
    • ความบันเทิง
    • ข่าวสารล่าสุด
    saothaiduongonline
    ข่าวสารล่าสุด

    รอยแตกลาย คืออะไร? สาเหตุ ประเภท และวิธีป้องกัน

    Justin MitchellBy Justin MitchellJune 19, 2025No Comments2 Mins Read

    รอยแตกลาย คือเส้นหรือริ้วรอยบนผิวหนังที่เกิดจากการยืดขยายของผิวหนังมากเกินไป แม้ว่ารอยแตกลายจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่หลายคนก็รู้สึกรำคาญใจในเรื่องรูปลักษณ์ รอยแตกลายมักพบในผู้หญิงตั้งครรภ์ วัยรุ่นที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว หรือผู้ที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างมาก

    แล้วรอยแตกลายเกิดจากอะไร มีกี่ประเภท และจะป้องกันได้อย่างไร? มาดูคำอธิบายโดยละเอียดกัน

    รอยแตกลายคืออะไร?

    รอยแตกลาย (Stretch Marks หรือ Striae) คือแผลเป็นที่เกิดจากผิวหนังถูกยืดหรือหดตัวอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ทำให้เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนังเสียหาย ส่งผลให้เกิดเส้นสีแดง ม่วง หรือขาวบนผิวหนัง

    รอยแตกลายมักเกิดในบริเวณต่างๆ เช่น:

    • หน้าท้อง
    • ต้นขา
    • หน้าอก
    • ต้นแขนด้านบน
    • สะโพก
    • หลังส่วนล่าง

    สาเหตุของรอยแตกลาย

    มีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดรอยแตกลาย เช่น:

    1. การตั้งครรภ์
      ประมาณ 50-90% ของหญิงตั้งครรภ์มีรอยแตกลาย เนื่องจากหน้าท้องขยายตัวอย่างรวดเร็ว และฮอร์โมนในช่วงตั้งครรภ์ทำให้เส้นใยผิวหนังอ่อนแอลง
    2. การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในวัยรุ่น
      วัยรุ่นที่มีการเจริญเติบโตหรือมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมักเกิดรอยแตกลายบริเวณหลัง ต้นขา หรือหน้าอก
    3. น้ำหนักเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
      การเพิ่มหรือลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วทำให้ผิวหนังยืดหรือหดตัว ส่งผลให้เกิดรอยแตกลาย
    4. พันธุกรรม
      หากพ่อแม่หรือญาติพี่น้องของคุณมีรอยแตกลาย คุณก็มีแนวโน้มที่จะเป็นได้เช่นกัน
    5. การใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์ในระยะยาว
      การใช้ยาหรือครีมคอร์ติโคสเตียรอยด์เป็นเวลานานอาจลดการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังบางลงและเสี่ยงต่อการเกิดรอยแตกลาย
    6. โรคบางชนิด
      เช่น โรคคุชชิง (Cushing’s Syndrome) หรือมาร์แฟนซินโดรม (Marfan Syndrome) ที่ส่งผลต่อการสร้างคอลลาเจน ทำให้เกิดรอยแตกลายได้ง่ายขึ้น

    ประเภทของรอยแตกลาย

    รอยแตกลายสามารถแบ่งตามสีและระยะการเกิดเป็น 2 ประเภทหลัก:

    1. รอยแตกลายสีแดงหรือม่วง (Striae Rubra)
      เป็นรอยแตกลายใหม่ที่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น สีแดงหรือม่วงเกิดจากเส้นเลือดที่อยู่ใต้ผิวหนัง ยังสามารถรักษาได้ง่ายในระยะนี้
    2. รอยแตกลายสีขาว (Striae Alba)
      เป็นรอยแตกลายระยะที่เริ่มจางลงและอยู่ตัวแล้ว ผิวในบริเวณนั้นกลายเป็นแผลเป็นถาวร ซึ่งรักษาให้หายได้ยากกว่า

    วิธีป้องกันรอยแตกลาย

    แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่คุณสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยวิธีต่อไปนี้:

    1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
      การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและยืดหยุ่นได้ดี
    2. ทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำ
      เลือกใช้ครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้น เช่น เชียบัตเตอร์, โกโก้บัตเตอร์, น้ำมันอัลมอนด์ หรือวิตามินอี
    3. ควบคุมน้ำหนัก
      หลีกเลี่ยงการเพิ่มหรือลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
    4. รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน
      อาหารที่มีวิตามินซี วิตามินอี สังกะสี และโปรตีน ช่วยในการสร้างคอลลาเจน เช่น ส้ม ถั่ว ปลา และผักใบเขียว
    5. ใช้สมุนไพรหรือส่วนผสมจากธรรมชาติ
      เช่น ว่านหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันมะกอก ที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและลดโอกาสการเกิดรอยแตกลาย
    6. หลีกเลี่ยงการใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์เกินความจำเป็น
      หากจำเป็นต้องใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อป้องกันผลข้างเคียงต่อผิวหนัง
    7. การรักษาทางการแพทย์ (หากจำเป็น)
      ในกรณีที่รอยแตกลายรุนแรง อาจใช้วิธีรักษาทางการแพทย์ เช่น เลเซอร์ ไมโครเดอร์มาเบรชัน หรือการลอกผิวด้วยสารเคมี

    รอยแตกลายคืออะไร?

    รอยแตกลาย (Stretch Marks) คือรอยแผลเป็นบนผิวหนังที่มักปรากฏเป็นเส้นบาง ๆ สีชมพู ม่วง แดง หรือน้ำตาล แล้วค่อย ๆ จางกลายเป็นสีขาวหรือเงินเมื่อเวลาผ่านไป โดยมักเกิดจากการที่ผิวหนังถูกยืดขยายเร็วเกินไป จนโครงสร้างใต้ผิวหนังฉีกขาด

    รอยแตกลายพบได้บ่อยในหลายช่วงวัย เช่น วัยรุ่นที่ร่างกายเติบโตเร็ว หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่มีน้ำหนักขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว


    สาเหตุของรอยแตกลาย

    1. การเปลี่ยนแปลงรูปร่างอย่างรวดเร็ว
      เช่น การเพิ่มหรือลดน้ำหนักในระยะสั้น หรือการเจริญเติบโตช่วงวัยรุ่นที่เร่งตัวมากเกินไป
    2. ตั้งครรภ์
      รอยแตกลายบริเวณหน้าท้องเกิดขึ้นจากการที่ผิวหนังยืดตัวตามขนาดครรภ์
    3. พันธุกรรม
      หากพ่อแม่หรือสมาชิกในครอบครัวเคยมีรอยแตกลาย ก็มีโอกาสที่ลูกจะเป็นได้มากขึ้น
    4. ระดับฮอร์โมน
      เช่น ฮอร์โมนคอร์ติซอลที่สูงกว่าปกติ มีผลต่อความยืดหยุ่นของผิว
    5. ใช้ยาสเตียรอยด์ต่อเนื่อง
      ทำให้ผิวบางและเสี่ยงต่อการแตกลายได้ง่าย

    ประเภทรอยแตกลาย

    1. รอยแตกลายสีแดง/ชมพู (Striae Rubra)
      มักเป็นรอยใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น สีสดเพราะยังมีเส้นเลือดอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้สามารถรักษาให้จางลงได้ง่ายกว่า
    2. รอยแตกลายสีขาว/เงิน (Striae Alba)
      เป็นรอยที่เกิดขึ้นมานานแล้ว เส้นเลือดใต้ผิวหายไป สีจางลงและรักษาให้หายยากกว่าแบบแรก

    บริเวณที่พบบ่อย

    • หน้าท้อง
    • ต้นขา
    • สะโพก
    • หน้าอก
    • ต้นแขน
    • หลังส่วนล่าง

    วิธีป้องกันรอยแตกลาย

    1. ดูแลน้ำหนักให้คงที่
      หลีกเลี่ยงการลดหรือเพิ่มน้ำหนักอย่างรวดเร็วเกินไป
    2. บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์
      เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินอี เชียบัตเตอร์ หรือน้ำมันธรรมชาติ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว
    3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
      เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้นจากภายใน
    4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
      เพื่อควบคุมน้ำหนักและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
    5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว
      เช่น วิตามินซี อี ซิงก์ และโปรตีน ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจน

    หากมีรอยแตกลายแล้ว ทำอย่างไรได้บ้าง?

    • ครีมลดรอยแตกลาย: ใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยให้รอยจางลง โดยเฉพาะรอยแตกลายใหม่
    • การทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์ผิว: เช่น Fractional Laser, Microdermabrasion, Microneedling
    • ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง: เพื่อรับคำแนะนำในการรักษาอย่างเหมาะสมกับสภาพผิว

    แนวทางการรักษารอยแตกลาย: ทางเลือกที่ปลอดภัยและเหมาะสม

    การดูแลรักษารอยแตกลายสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับอายุของรอย สภาพผิว และงบประมาณ ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 แนวทางหลัก:


    แนวทางธรรมชาติและการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว

    1. น้ำมันสกัดธรรมชาติ
      • น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันอาร์แกน, น้ำมันอัลมอนด์
        ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและเสริมความยืดหยุ่นให้ผิว
    2. เชียบัตเตอร์และโกโก้บัตเตอร์
      นิยมในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ ใช้ทาท้องหรือต้นขาเพื่อลดความตึงผิวหนัง
    3. ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera)
      ลดการอักเสบของผิว และให้ความเย็นสบาย เหมาะสำหรับรอยแตกลายที่เพิ่งเกิด
    4. ครีมหรือโลชั่นที่มีเรตินอยด์ (Retinoids)
      ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและสร้างคอลลาเจน แต่ไม่แนะนำให้ใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

    แนวทางการรักษาทางการแพทย์และคลินิกความงาม

    1. Microneedling (การใช้เข็มเล็กกระตุ้นใต้ผิว)
      ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะกับรอยแตกลายสีขาวที่ฝังลึก
    2. เลเซอร์ (Fractional Laser, Pulsed Dye Laser)
      ช่วยปรับสีผิว ลดรอย และกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อผิวใหม่
    3. Microdermabrasion (การขัดผิวด้วยผลึกละเอียด)
      ใช้สำหรับรอยตื้น และช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน
    4. Chemical Peel (การผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดอ่อน)
      ช่วยผลัดผิวชั้นบน ลดความเข้มของรอยได้ในระยะยาว

    คำแนะนำ: ทุกการรักษาทางการแพทย์ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัย


    เคล็ดลับการดูแลผิวเพื่อไม่ให้รอยแตกลายลุกลาม

    • หลีกเลี่ยงการเกา หากผิวแห้งหรือตึงเกินไป ให้ทาครีมทันที
    • ไม่ขัดผิวแรง ๆ ในบริเวณที่มีรอย
    • หากเริ่มเห็นรอยแตกลาย ควรรีบรักษาทันทีเพราะรอยใหม่รักษาได้ง่ายกว่า
    • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงหลังอาบน้ำขณะที่ผิวยังชื้น เพื่อให้ครีมซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น

    คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

    Q: รอยแตกลายหายขาดได้ไหม?
    A: ไม่สามารถหายได้ 100% แต่สามารถทำให้จางลงอย่างชัดเจนด้วยการดูแลที่เหมาะสม

    Q: รอยแตกลายเกิดได้แม้ผอมอยู่หรือไม่?
    A: ได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายเติบโตเร็ว เช่น วัยรุ่น หรือผู้ที่ออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อเร็วเกินไป

    Q: มีอายุเท่าไหร่ที่เสี่ยงต่อรอยแตกลาย?
    A: ทุกช่วงวัยสามารถเกิดได้ โดยเฉพาะในวัยรุ่น วัยตั้งครรภ์ และวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเร็ว

    รอยแตกลาย คืออะไร? สาเหตุ ประเภท และวิธีป้องกัน
    Justin Mitchell

    Related Posts

    ท่องเที่ยวในฝันที่อียิปต์: จากแม่น้ำไนล์สู่ ทะเลแดง

    June 27, 2025

    แคมป์ปิ้งท่ามกลางธรรมชาติ พักผ่อน วันหยุด

    June 26, 2025

    วันหยุดฤดูหนาวในญี่ปุ่น หิมะ ออนเซ็น และอาหาร

    June 25, 2025

    Comments are closed.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.