Close Menu
    Facebook X (Twitter) Instagram
    saothaiduongonline
    • Home
    • ความบันเทิง
    • ข่าวสารล่าสุด
    • สุขภาพ
    saothaiduongonline
    สุขภาพ

    ฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิล: ภาวะแทรกซ้อนอันตรายจากการเจ็บ คอ

    Justin MitchellBy Justin MitchellSeptember 2, 2025No Comments2 Mins Read

    อาการเจ็บ คอ เป็นสิ่งที่หลายคนเคยเผชิญ ไม่ว่าจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัสทั่วไปหรือการอักเสบของต่อมทอนซิล แต่ในบางกรณี หากการติดเชื้อไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม อาจลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น หนึ่งในนั้นคือ ฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิล (Peritonsillar Abscess) ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ อาจนำไปสู่ภาวะอันตราย เช่น การอุดกั้นทางเดินหายใจ การแพร่กระจายของเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด หรือการติดเชื้อที่ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น


    ฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิลคืออะไร

    ฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิล คือ การสะสมของหนองที่เกิดขึ้นบริเวณเนื้อเยื่อรอบ ๆ ต่อมทอนซิล มักเกิดเป็นผลสืบเนื่องจากการอักเสบของต่อมทอนซิลที่รุนแรงหรือไม่ได้รับการรักษา เชื้อโรคที่พบบ่อยคือแบคทีเรียกลุ่ม สเตรปโตค็อกคัส (Streptococcus pyogenes) และอาจร่วมกับเชื้อชนิดอื่น

    ภาวะนี้พบได้บ่อยในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ หากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือมีปัจจัยเสี่ยงร่วม


    สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

    1. การติดเชื้อแบคทีเรียในต่อมทอนซิล ที่ไม่ได้รับการรักษาหรือใช้ยาปฏิชีวนะไม่ครบตามกำหนด
    2. โรคทอนซิลอักเสบเรื้อรัง ทำให้เชื้อสะสมและมีโอกาสลุกลาม
    3. สุขอนามัยในช่องปากไม่ดี ทำให้เชื้อโรคเติบโตได้ง่าย
    4. ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ เครียดเรื้อรัง หรือมีโรคประจำตัว
    5. ประวัติการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งทำให้เยื่อบุช่องปากและลำคออ่อนแอ

    อาการของฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิล

    อาการของผู้ป่วยมักรุนแรงกว่าอาการทอนซิลอักเสบทั่วไป และควรสังเกตดังนี้

    • เจ็บคอมาก โดยเฉพาะข้างที่เกิดฝี
    • กลืนลำบากและเจ็บมากขึ้นเมื่อกลืนอาหารหรือน้ำ
    • พูดเสียงอู้อี้หรือเสียงเปลี่ยนไป คล้ายมีอะไรอุดกั้นในลำคอ (เรียกว่า Hot Potato Voice)
    • น้ำลายไหล ไม่สามารถกลืนน้ำลายได้
    • มีไข้สูง หนาวสั่น อ่อนเพลีย
    • ปากเหม็นจากการติดเชื้อ
    • ปวดหูข้างเดียว เนื่องจากความเจ็บร้าว
    • กรามแข็ง อ้าปากลำบาก (Trismus)
    • ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอโตและเจ็บ
    • ในบางกรณีอาจหายใจลำบากหากฝีมีขนาดใหญ่

    ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

    หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิลสามารถนำไปสู่ปัญหาร้ายแรง ได้แก่

    1. การอุดกั้นทางเดินหายใจ
      ฝีที่โตขึ้นอาจกดทับหลอดลม ทำให้หายใจลำบาก และเสี่ยงต่อการขาดออกซิเจน
    2. การแพร่กระจายของเชื้อ
      เชื้อแบคทีเรียสามารถเข้าสู่กระแสเลือด ก่อให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ซึ่งอันตรายถึงชีวิต
    3. การลุกลามไปยังเนื้อเยื่อรอบคอ
      การติดเชื้ออาจกระจายไปยังโพรงด้านหลังคอ (Retropharyngeal abscess) หรือช่องอก (Mediastinitis)
    4. การติดเชื้อเรื้อรัง
      หากไม่ได้กำจัดฝีอย่างถูกต้อง เชื้ออาจคงอยู่และทำให้เกิดการอักเสบซ้ำ ๆ

    การวินิจฉัย

    แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยพิจารณาจากประวัติและการตรวจร่างกาย โดยมีขั้นตอนดังนี้

    • การตรวจในช่องปากและลำคอ พบว่าต่อมทอนซิลบวมและเบียดเข้าหากลางคอ เยื่อบุอาจแดงและมีหนอง
    • การคลำคอ เพื่อตรวจต่อมน้ำเหลืองและความเจ็บ
    • การตรวจเลือด เพื่อดูการติดเชื้อ
    • การตรวจภาพถ่าย (CT Scan หรืออัลตราซาวด์) ในกรณีที่ไม่แน่ใจหรือฝีอยู่ลึก
    • การเจาะดูดหนอง เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและตรวจหาเชื้อ

    การรักษา

    การรักษาฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิลจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ โดยแนวทางหลักได้แก่

    1. การให้ยาปฏิชีวนะ
      ใช้ยาที่ครอบคลุมเชื้อแบคทีเรียกลุ่มแกรมบวกและแกรมลบ รวมถึงเชื้อไม่ใช้ออกซิเจน
    2. การระบายน้ำหนอง (Drainage)
      วิธีการอาจเป็น
      • การเจาะดูดหนอง
      • การกรีดเปิดเพื่อระบาย
      • การผ่าตัดนำต่อมทอนซิลออกในกรณีที่เป็นซ้ำบ่อยหรือฝีมีขนาดใหญ่
    3. การรักษาตามอาการ
      เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวด การให้สารน้ำหากกลืนไม่ได้
    4. การติดตามอาการ
      ผู้ป่วยจำเป็นต้องติดตามกับแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

    การป้องกัน

    แม้ฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิลจะเป็นภาวะรุนแรง แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม ได้แก่

    • รักษาอาการเจ็บคอและทอนซิลอักเสบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
    • ใช้ยาปฏิชีวนะให้ครบตามแพทย์สั่ง
    • ดูแลสุขภาพช่องปากให้สะอาด
    • พักผ่อนเพียงพอ เสริมภูมิคุ้มกันด้วยโภชนาการที่ดี
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

    แนวทางดูแลตนเองหลังการรักษา

    เมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิลแล้ว ไม่ว่าจะด้วยการเจาะดูดหนอง การกรีดเปิด หรือการผ่าตัด จำเป็นต้องมีการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อฟื้นฟูร่างกายและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ได้แก่

    1. รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างครบถ้วน
      ยาปฏิชีวนะต้องรับประทานให้ครบ แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะหากหยุดยาเอง เชื้ออาจยังคงอยู่และทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำ
    2. พักผ่อนเพียงพอ
      ร่างกายต้องการเวลาในการฟื้นฟู ควรนอนหลับให้ได้วันละ 7–8 ชั่วโมง
    3. ดื่มน้ำมาก ๆ
      น้ำช่วยให้เยื่อบุคอชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง และช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น
    4. เลือกรับประทานอาหารอ่อน
      อาหารที่นิ่มและกลืนง่าย เช่น โจ๊ก ซุป หรือโยเกิร์ต จะช่วยลดความเจ็บปวดขณะกลืน
    5. หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคือง
      เช่น ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ และอาหารรสจัด เพราะอาจกระตุ้นการอักเสบซ้ำ
    6. ดูแลสุขภาพช่องปาก
      แปรงฟันและบ้วนปากหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย

    สัญญาณอันตรายที่ควรรีบพบแพทย์ทันที

    หลังการรักษา หากพบอาการเหล่านี้ ผู้ป่วยควรกลับไปพบแพทย์โดยเร็ว เนื่องจากอาจบ่งชี้ถึงการกลับมาเป็นซ้ำหรือภาวะแทรกซ้อน

    • มีอาการเจ็บคอรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
    • กลืนลำบากจนไม่สามารถรับประทานน้ำหรืออาหารได้
    • พูดเสียงเปลี่ยนหรือเสียงอู้อี้ชัดเจน
    • หายใจลำบากหรือมีเสียงหายใจผิดปกติ
    • มีไข้สูง หนาวสั่น ไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้
    • ปวดและบวมบริเวณคอมากขึ้น
    • รู้สึกอ่อนแรง หน้ามืด หรือสงสัยว่ามีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด

    การมองในระยะยาว

    แม้ว่าฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิลจะเป็นภาวะรุนแรง แต่หากผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา โอกาสในการหายเป็นปกติจะสูงมาก อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีอาการทอนซิลอักเสบซ้ำบ่อย แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดต่อมทอนซิลออก เพื่อป้องกันการกลับมาเกิดฝีอีก

    การใส่ใจสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการเจ็บคอรุนแรง ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายและรักษาคุณภาพชีวิตในระยะยาว

    การป้องกันฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิลในชีวิตประจำวัน

    แม้ว่าการรักษาจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยหายได้ แต่การป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นตั้งแต่แรกย่อมดีกว่า วิธีการที่สามารถช่วยลดความเสี่ยง ได้แก่

    1. รักษาความสะอาดของช่องปาก
      การแปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน และบ้วนปากหลังรับประทานอาหาร จะช่วยลดการสะสมของเชื้อโรค
    2. ดื่มน้ำมาก ๆ
      น้ำช่วยให้เยื่อบุในคอชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี
    3. งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
      ทั้งสองอย่างนี้สามารถทำลายเยื่อบุคอ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น
    4. ดูแลสุขภาพร่างกายโดยรวม
      รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนเพียงพอ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
    5. เข้าพบแพทย์เมื่อเจ็บคอรุนแรง
      หากมีอาการเจ็บคอที่ไม่ดีขึ้นภายใน 2–3 วัน หรือมีไข้สูง ควรรีบตรวจรักษา ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์

    กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวัง

    ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสเกิดฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิล แต่บางกลุ่มมีความเสี่ยงมากกว่า ได้แก่

    • ผู้ที่มีประวัติทอนซิลอักเสบบ่อย ๆ
      การอักเสบซ้ำ ๆ ทำให้ต่อมทอนซิลอ่อนแอและมีโอกาสติดเชื้อรุนแรงได้
    • วัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว
      งานวิจัยพบว่ากลุ่มอายุ 15–30 ปี มักพบภาวะนี้บ่อยกว่ากลุ่มอื่น
    • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
      เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่ใช้ยากดภูมิ หรือผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ
    • ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ
      ควันบุหรี่ทำลายเยื่อบุคอและลดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

    ข้อคิดส่งท้าย

    ฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิลอาจเริ่มจากอาการเจ็บคอธรรมดา แต่หากละเลยการดูแลหรือปล่อยให้ติดเชื้อรุนแรงขึ้น ก็สามารถกลายเป็นโรคที่อันตรายได้ การป้องกันด้วยการรักษาสุขภาพช่องปาก การใส่ใจเมื่อมีอาการเจ็บคอ และการพบแพทย์ทันทีเมื่อสงสัยว่ามีอาการผิดปกติ จะช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงนี้ได้

    ดังนั้น อย่ามองข้ามอาการเจ็บคอที่รุนแรงหรือมีไข้สูง เพราะอาจไม่ใช่แค่ “เจ็บคอธรรมดา” แต่เป็นสัญญาณเตือนของภาวะที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพื่อให้คุณกลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงและปลอดภัยในระยะยาว

    ตลาดนัดสวนจตุจักร: สวรรค์แห่งการช้อปปิ้งสูงสุดของ กรุงเทพฯ ฝีเยื่อรอบต่อมทอนซิล: ภาวะแทรกซ้อนอันตรายจากการเจ็บ คอ รอยแตกลาย คืออะไร? สาเหตุ ประเภท และวิธีป้องกัน
    Justin Mitchell

    Related Posts

    อัลการ์ฟ: สวรรค์ชายฝั่งสุดงามของ ยุโรป

    September 1, 2025

    ทะเลสาบล็อก เนส ส์ (สกอตแลนด์): เนสซี ความงามตามธรรมชาติ

    August 31, 2025

    มะเร็งปอดและอาการเริ่มต้นที่บ่งบอกด้วยการ ไอเป็นเลือด

    August 29, 2025

    Comments are closed.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.