Close Menu
    Facebook X (Twitter) Instagram
    saothaiduongonline
    • Home
    • ความบันเทิง
    • ข่าวสารล่าสุด
    saothaiduongonline
    ข่าวสารล่าสุด

    ความสำคัญของแคลเซียมและ วิตามินดี ต่อกระดูกที่แข็งแรง

    Justin MitchellBy Justin MitchellJune 18, 2025No Comments2 Mins Read

    สุขภาพกระดูก เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น สารอาหารสองชนิดที่จำเป็นต่อความแข็งแรงและความหนาแน่นของกระดูกคือ แคลเซียม และ วิตามินดี สารอาหารทั้งสองนี้ทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโต พัฒนาการ และการป้องกันปัญหากระดูกต่าง ๆ เช่น โรคกระดูกพรุน และโรคกระดูกอ่อน บทความนี้จะอธิบายถึงความสำคัญของแคลเซียมและวิตามินดี รวมถึงวิธีการได้รับสารอาหารเหล่านี้อย่างเพียงพอในแต่ละวัน

    บทบาทของแคลเซียมต่อสุขภาพกระดูก

    แคลเซียมเป็นแร่ธาตุหลักที่ใช้สร้างโครงสร้างของกระดูกและฟัน โดยประมาณ 99% ของแคลเซียมในร่างกายจะสะสมอยู่ในกระดูกและฟัน ส่วนอีก 1% ที่เหลือมีบทบาทในการทำงานของกล้ามเนื้อ การส่งสัญญาณประสาท และการแข็งตัวของเลือด หากร่างกายได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ จะดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ ซึ่งอาจทำให้กระดูกอ่อนแอและเสี่ยงต่อการแตกหักในระยะยาว

    หน้าที่ของแคลเซียมต่อกระดูก:

    • สร้างและเสริมความแข็งแรงของกระดูก – จำเป็นตั้งแต่วัยเด็กจนถึงผู้ใหญ่เพื่อให้มีกระดูกที่หนาแน่นและแข็งแรง
    • ป้องกันโรคกระดูกพรุน – การขาดแคลเซียมทำให้กระดูกพรุน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและสตรีวัยหมดประจำเดือน
    • ส่งเสริมการพัฒนาของฟัน – แคลเซียมยังจำเป็นต่อการสร้างฟันที่แข็งแรง

    แหล่งแคลเซียมตามธรรมชาติ:

    • ผลิตภัณฑ์นม (ชีส โยเกิร์ต)
    • ผักใบเขียว (บรอกโคลี ผักโขม คะน้า)
    • ถั่วต่าง ๆ (อัลมอนด์ ถั่วเหลือง)
    • ปลาที่สามารถกินกระดูกได้ (ปลาซาร์ดีน ปลาแอนโชวี)

    บทบาทของวิตามินดีในการดูดซึมแคลเซียม

    แม้แคลเซียมจะมีความสำคัญ แต่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพหากขาดวิตามินดี วิตามินดีช่วยให้ลำไส้ดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น และช่วยควบคุมระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือด หากขาดวิตามินดี ร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมจากอาหารได้เพียง 10-15% แต่หากมี วิตามินดี เพียงพอ อัตราการดูดซึมจะเพิ่มเป็น 30-40%

    หน้าที่ของวิตามินดีต่อกระดูก:

    • เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียม – ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมจากอาหารได้ดีขึ้น
    • ป้องกันโรคกระดูกอ่อนในเด็ก – การขาดวิตามินดีในเด็กอาจทำให้กระดูกอ่อนและผิดรูป
    • ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน – วิตามินดีช่วยรักษาความหนาแน่นของกระดูก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ

    แหล่งวิตามินดีตามธรรมชาติ:

    • แสงแดดยามเช้า (ระหว่างเวลา 08.00 – 10.00 น.)
    • ปลาที่มีไขมันสูง (ปลาแซลมอน ทูน่า แมคเคอเรล)
    • ไข่แดง
    • นมและซีเรียลที่เติมวิตามินดี

    ผลเสียจากการขาดแคลเซียมและวิตามินดี

    หากได้รับแคลเซียมและวิตามินดีไม่เพียงพอ อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพหลายประการ เช่น:

    • โรคกระดูกพรุน – กระดูกเปราะบางและหักง่าย
    • โรคกระดูกอ่อน – กระดูกผิดรูปในเด็ก
    • โรคกระดูกนิ่มในผู้ใหญ่ (Osteomalacia) – กระดูกอ่อนตัวเนื่องจากแร่ธาตุไม่เพียงพอ
    • ความผิดปกติของกล้ามเนื้อและระบบประสาท – อาการกล้ามเนื้อเป็นตะคริว ชา และกล้ามเนื้ออ่อนแรง

    วิธีการได้รับแคลเซียมและวิตามินดีอย่างเพียงพอ

    1. รับประทานอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมและวิตามินดี
      รวมผลิตภัณฑ์นม ผักใบเขียว ปลาทะเล และถั่วไว้ในมื้ออาหาร หากจำเป็นสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อเสริมอาหารเสริม
    2. ออกไปรับแสงแดด
      การอยู่กลางแดดยามเช้าวันละ 10-15 นาที สัปดาห์ละหลายครั้ง จะช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีได้เอง
    3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
      การออกกำลังกาย เช่น เดิน วิ่ง หรือยกน้ำหนัก ช่วยกระตุ้นให้กระดูกแข็งแรงขึ้น
    4. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง
      ควรลดการบริโภคคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจรบกวนการดูดซึมแคลเซียม

    แนวทางการดูแลสุขภาพกระดูกในแต่ละช่วงวัย

    เพื่อให้กระดูกแข็งแรงตลอดชีวิต ควรมีการดูแลที่เหมาะสมกับช่วงอายุ เพราะแต่ละวัยมีความต้องการแคลเซียมและวิตามินดีต่างกัน รวมถึงมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียมวลกระดูกในรูปแบบที่แตกต่างกันด้วย

    1. วัยเด็กและวัยรุ่น (0–19 ปี)

    • เป็นช่วงที่กระดูกเติบโตเร็วที่สุด
    • ควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,000–1,300 มิลลิกรัม
    • รับวิตามินดีประมาณ 600 IU ต่อวัน
    • สนับสนุนการออกกำลังกายกลางแจ้งเพื่อกระตุ้นการสร้างกระดูกและได้รับแสงแดด

    2. วัยผู้ใหญ่ (20–50 ปี)

    • ควรรักษาความหนาแน่นของกระดูกให้คงที่
    • แนะนำแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม
    • รับวิตามินดีประมาณ 600–800 IU ต่อวัน
    • หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดินเร็ว โยคะ หรือเวทเทรนนิ่งเบา ๆ

    3. วัยหมดประจำเดือน และผู้สูงอายุ (50 ปีขึ้นไป)

    • มวลกระดูกเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน
    • ต้องการแคลเซียมมากขึ้น: 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน
    • วิตามินดีควรได้รับ 800–1,000 IU ต่อวัน หรือปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาเสริมอาหาร
    • ตรวจวัดมวลกระดูกเป็นระยะ และระวังการหกล้ม

    บทบาทของอาหารเสริม

    ในบางกรณี โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานอาหารไม่เพียงพอหรือมีปัญหาการดูดซึม อาจจำเป็นต้องพิจารณาการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่น

    • แคลเซียมคาร์บอเนต: ราคาย่อมเยา ควรรับประทานพร้อมอาหารเพื่อช่วยดูดซึม
    • แคลเซียมซิเทรต: เหมาะกับผู้ที่มีปัญหากรดในกระเพาะอาหารต่ำ หรือผู้สูงอายุ
    • วิตามินดีเสริม: อาจมาในรูปของ D2 หรือ D3 โดย D3 มักดูดซึมได้ดีกว่า

    ปัจจัยที่รบกวนการดูดซึมแคลเซียมและวิตามินดี

    แม้ว่าจะได้รับแคลเซียมและวิตามินดีอย่างเพียงพอ แต่บางปัจจัยสามารถลดประสิทธิภาพในการดูดซึมได้ เช่น:

    1. การบริโภคคาเฟอีนและโซดามากเกินไป

    เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและฟอสฟอรัสสูงอาจรบกวนการดูดซึมแคลเซียมและเพิ่มการขับออกทางปัสสาวะ

    2. อาหารที่มีโซเดียมสูง

    โซเดียมมากเกินไปจะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกมากขึ้นผ่านทางไต

    3. การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์

    ลดความสามารถของร่างกายในการสร้างกระดูกใหม่ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการสูญเสียมวลกระดูก

    4. โรคบางชนิด

    เช่น ลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคไต หรือผู้ที่เคยผ่าตัดกระเพาะอาหาร อาจมีปัญหาในการดูดซึมแคลเซียมและวิตามินดี


    การตรวจสุขภาพกระดูก

    การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density – BMD) เป็นวิธีที่ใช้ประเมินความแข็งแรงของกระดูก และตรวจหาภาวะกระดูกพรุนได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยมักแนะนำให้ทำในกรณีต่อไปนี้:

    • ผู้หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป และผู้ชายอายุ 70 ปีขึ้นไป
    • ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น น้ำหนักต่ำ สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
    • ผู้ที่เคยกระดูกหักจากอุบัติเหตุเล็กน้อย
    • ผู้ที่รับยากลุ่มสเตียรอยด์ระยะยาว

    ผลตรวจจะใช้ค่า T-score เพื่อประเมินภาวะกระดูกพรุนหรือกระดูกบาง และนำไปสู่แผนการดูแลที่เหมาะสม


    ข้อควรระวังในการดูแลกระดูก

    แม้ว่าแคลเซียมและวิตามินดีจะจำเป็น แต่ไม่ควรรับประทานเกินความจำเป็น:

    • แคลเซียมมากเกินไป (มากกว่า 2,500 มก./วัน) อาจเสี่ยงนิ่วในไตหรือแคลเซียมเกาะหลอดเลือด
    • วิตามินดีมากเกินไป (เกิน 4,000 IU/วัน โดยไม่จำเป็น) อาจเกิดพิษสะสม ทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูงผิดปกติ

    แนวทางที่ปลอดภัยคือเน้นการรับจากอาหารเป็นหลัก และปรึกษาแพทย์หากจำเป็นต้องเสริมในรูปแบบเม็ด

    ตารางแนะนำปริมาณแคลเซียมและวิตามินดีที่ควรได้รับต่อวัน (ตามช่วงอายุ)

    ช่วงอายุแคลเซียม (มิลลิกรัม/วัน)วิตามินดี (IU/วัน)
    ทารก 0–6 เดือน200400
    ทารก 7–12 เดือน260400
    เด็ก 1–3 ปี700600
    เด็ก 4–8 ปี1,000600
    เด็ก 9–18 ปี1,300600
    ผู้ใหญ่ 19–50 ปี1,000600–800
    ผู้หญิงอายุ 51 ปีขึ้นไป1,200800–1,000
    ผู้ชายอายุ 71 ปีขึ้นไป1,200800–1,000
    หญิงตั้งครรภ์/ให้นมบุตร1,000–1,300600–800

    เคล็ดลับการดูแลสุขภาพกระดูกแบบองค์รวม

    1. อาหารครบถ้วน:
      รวมอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ถั่ว ผักใบเขียว และเน้นโปรตีนพอเหมาะ
    2. ออกกำลังกายที่มีแรงกระแทก:
      เช่น การเดินเร็ว กระโดดเชือก หรือเต้นแอโรบิก เพื่อกระตุ้นมวลกระดูก
    3. แสงแดดอ่อนตอนเช้า:
      อย่างน้อย 10–15 นาทีต่อวัน โดยให้แขน ขา หรือใบหน้าได้สัมผัสแสง
    4. ลดพฤติกรรมเสี่ยง:
      เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัดหรือหวานจัด
    5. ตรวจสุขภาพกระดูกเป็นระยะ:
      โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน หรือเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน

    คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแคลเซียมและวิตามินดี

    1. หากแพ้นมหรือไม่บริโภคนม ควรได้รับแคลเซียมจากที่ใด?

    แม้จะไม่ดื่มนมก็สามารถรับแคลเซียมได้จากแหล่งอื่น เช่น:

    • เต้าหู้ที่ทำจากแคลเซียมซัลเฟต
    • ผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักคะน้า บรอกโคลี ใบยอ
    • งาดำ และเมล็ดพืชต่าง ๆ
    • ปลาที่กินได้ทั้งกระดูก เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาตัวเล็กอบแห้ง
    • นมถั่วเหลืองหรือนมพืชที่เสริมแคลเซียม

    2. จำเป็นต้องเสริมวิตามินดีหรือไม่ ถ้าอยู่ในประเทศเขตร้อน?

    ถึงแม้จะมีแสงแดดเพียงพอ แต่หลายคนใช้ชีวิตในร่ม ใส่เสื้อผ้ามิดชิด หรือทาครีมกันแดด ทำให้ร่างกายผลิตวิตามินดีได้ไม่เพียงพอ ควรตรวจระดับวิตามินดีในเลือดหากมีความเสี่ยง และอาจต้องเสริมในรูปแบบอาหารเสริมหากพบว่าขาดจริง

    3. กินแคลเซียมตอนไหนดีที่สุด?

    • แคลเซียมคาร์บอเนต ควรรับประทานพร้อมอาหาร
    • แคลเซียมซิเทรต สามารถทานได้ทุกเวลา แม้ขณะท้องว่าง
    • ควรแบ่งการรับประทานหากได้รับเกิน 500 มก. ในครั้งเดียว เพราะร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้นเมื่อแบ่งมื้อ

    4. คนท้องหรือให้นมบุตรต้องระวังอะไรบ้าง?

    ควรได้รับแคลเซียมและวิตามินดีให้เพียงพอ ไม่เพียงแต่เพื่อสุขภาพของแม่ แต่ยังรวมถึงการเจริญเติบโตของกระดูกทารกด้วย โดยสามารถได้รับจากอาหาร และอาจเสริมด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตามคำแนะนำของแพทย์

    5. วิตามินดีมากเกินไปอันตรายไหม?

    ใช่ หากได้รับมากเกิน 4,000 IU ต่อวันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูง ซึ่งส่งผลให้คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ หรือเสี่ยงไตเสียหาย


    แนวทางเชิงปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

    • เริ่มต้นมื้อเช้าด้วยนมถั่วเหลืองหรือนมวัว + ซีเรียลเสริมแคลเซียม
    • เดินหรือออกกำลังกายกลางแจ้งยามเช้า 10–15 นาที
    • เตรียมอาหารกลางวันที่มีผักใบเขียวหรือปลาเล็กปลาน้อย
    • งดการดื่มกาแฟเกิน 2 แก้วต่อวัน และหลีกเลี่ยงน้ำอัดลม
    • ตรวจสุขภาพประจำปี และหารือกับแพทย์หากมีความเสี่ยงกระดูกพรุน
    ความสำคัญของแคลเซียมและวิตามินดีต่อกระดูกที่แข็งแรง
    Justin Mitchell

    Related Posts

    อุทยานแห่งชาติฟยอร์ดแลนด์: ดื่มด่ำกับ ความงาม ของธรรมชาติป่าแท้

    August 27, 2025

    ความผิดปกติด้านแรงจูงใจ: ผลกระทบของ กัญชา ต่อประสิทธิภาพชีวิต

    August 25, 2025

    สาเหตุของผิว หย่อน คล้อยและวิธีป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ

    August 11, 2025

    Comments are closed.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.