Close Menu
    Facebook X (Twitter) Instagram
    saothaiduongonline
    • Home
    • ความบันเทิง
    • ข่าวสารล่าสุด
    saothaiduongonline
    สุขภาพ

    ความผิดปกติด้านแรงจูงใจ: ผลกระทบของ กัญชา ต่อประสิทธิภาพชีวิต

    Justin MitchellBy Justin MitchellAugust 25, 2025Updated:August 25, 2025No Comments2 Mins Read

    กัญชา เป็นพืชที่มีการใช้มาอย่างยาวนานทั้งในทางการแพทย์และการพักผ่อนหย่อนใจ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายประเทศรวมถึงประเทศไทยได้มีการถกเถียงและปรับเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับกัญชา ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากัญชาจะมีประโยชน์ในบางด้าน แต่การใช้ในปริมาณมากหรือติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย จิตใจ และโดยเฉพาะ แรงจูงใจ ของผู้ใช้

    บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงความผิดปกติด้านแรงจูงใจที่เกิดจากการใช้กัญชา และผลกระทบที่ตามมาต่อประสิทธิภาพชีวิตในมิติต่างๆ


    กัญชาและสารสำคัญที่มีผลต่อสมอง

    กัญชามีสารออกฤทธิ์หลักคือ เดลต้า-9-เตตระไฮโดรแคนนาบินอล (THC) ซึ่งมีผลต่อสมองโดยตรง โดยจับกับตัวรับแคนนาบินอยด์ (Cannabinoid Receptors) ในระบบประสาท ส่งผลให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี หรือมีความสุข แต่ในขณะเดียวกัน THC ก็อาจทำให้สมาธิลดลง การตัดสินใจช้าลง และความจำระยะสั้นแย่ลง

    นอกจากนี้ยังมี แคนนาบิไดออล (CBD) ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดอาการมึนเมา แต่มีผลต่อการลดอักเสบ ลดความวิตกกังวล และถูกนำมาใช้ทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบด้านแรงจูงใจส่วนใหญ่สัมพันธ์กับ THC มากกว่า CBD


    ความผิดปกติด้านแรงจูงใจคืออะไร?

    ความผิดปกติด้านแรงจูงใจ (Amotivational Syndrome) หมายถึง ภาวะที่บุคคลขาดความกระตือรือร้น ไม่สนใจการทำกิจกรรมที่เคยทำได้ดี ขาดเป้าหมาย และไม่พยายามพัฒนาตนเอง โดยมักพบในผู้ที่ใช้กัญชาหนักหรือใช้เป็นประจำต่อเนื่อง

    อาการทั่วไป เช่น

    • ไม่อยากทำงานหรือเรียน
    • ไม่มีแรงขับในการวางแผนอนาคต
    • ขาดความสนใจในกิจกรรมที่ต้องใช้ความพยายาม
    • ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพักผ่อนเฉยๆ โดยไม่มีเป้าหมาย

    กลไกที่กัญชามีผลต่อแรงจูงใจ

    การใช้กัญชาในระยะยาวอาจส่งผลต่อระบบ โดพามีน (Dopamine System) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจและความสุขจากการทำกิจกรรม เมื่อ THC กระตุ้นสมอง ผู้ใช้จะรู้สึกดีทันที แต่หากใช้ต่อเนื่อง ร่างกายจะปรับตัวและลดการผลิตโดพามีนตามธรรมชาติ ทำให้กิจกรรมทั่วไป เช่น การเรียน การทำงาน หรือการออกกำลังกาย ไม่ให้ความสุขเท่ากับการใช้กัญชา

    ผลลัพธ์คือ ผู้ใช้กัญชาหนักอาจรู้สึกไม่อยากทำอะไรที่ต้องใช้ความพยายาม และเลือกที่จะหันไปหากัญชาแทน


    ผลกระทบของกัญชาต่อประสิทธิภาพชีวิต

    1. ด้านการศึกษา

    นักเรียนหรือนักศึกษาที่ใช้กัญชาบ่อยครั้งมักมีปัญหาเรื่องสมาธิสั้น ขาดความตั้งใจเรียน และผลการเรียนตกต่ำ งานวิจัยบางชิ้นพบว่า ผู้ใช้กัญชาหนักมีแนวโน้มออกจากการศึกษาเร็วกว่าผู้ที่ไม่ใช้

    2. ด้านการทำงาน

    การขาดแรงจูงใจและสมาธิส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ผู้ใช้กัญชาอาจทำงานได้ช้าลง ขาดงานบ่อย หรือไม่สามารถรักษาความต่อเนื่องของการทำงานได้ ส่งผลให้ความก้าวหน้าในอาชีพลดลง

    3. ด้านสุขภาพจิต

    แม้ว่ากัญชาจะช่วยลดความเครียดในบางกรณี แต่การใช้ต่อเนื่องอาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และการพึ่งพิงทางจิตใจ ผู้ใช้บางรายรู้สึกพอใจเพียงชั่วคราว แต่ระยะยาวกลับรู้สึกว่างเปล่าและหมดแรงบันดาลใจ

    4. ด้านความสัมพันธ์

    เมื่อแรงจูงใจลดลง ผู้ใช้กัญชาอาจละเลยครอบครัว เพื่อน หรือคู่ชีวิต ความสัมพันธ์อาจตึงเครียดหรือห่างเหิน เนื่องจากอีกฝ่ายรู้สึกว่าไม่ได้รับการเอาใจใส่

    5. ด้านการเงินและสังคม

    ผู้ใช้กัญชาอย่างต่อเนื่องต้องใช้เงินในการซื้อกัญชา ส่งผลให้มีภาระทางการเงิน และหากการทำงานไม่มีประสิทธิภาพ อาจทำให้เกิดปัญหาหนี้สินหรือตกงาน


    ความแตกต่างระหว่างการใช้เพื่อการแพทย์และการใช้เพื่อสันทนาการ

    การใช้กัญชาทางการแพทย์มักอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยใช้ในปริมาณและรูปแบบที่เหมาะสม เช่น น้ำมันสกัด CBD เพื่อลดอาการปวดหรือควบคุมอาการชัก ซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่าและโอกาสเกิดภาวะแรงจูงใจผิดปกติน้อยกว่า

    ในทางตรงกันข้าม การใช้เพื่อสันทนาการ โดยเฉพาะการสูบหรือการใช้ที่มีปริมาณ THC สูง มักเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียแรงจูงใจและประสิทธิภาพชีวิต


    วิธีลดผลกระทบและการฟื้นฟูแรงจูงใจ

    1. จำกัดการใช้
      หากไม่จำเป็น ควรลดความถี่และปริมาณการใช้กัญชา เพื่อให้สมองสามารถกลับมาผลิตโดพามีนตามธรรมชาติได้
    2. หากิจกรรมทดแทน
      การออกกำลังกาย การเล่นดนตรี หรือการทำงานอดิเรก สามารถช่วยกระตุ้นสารโดพามีนได้โดยไม่ต้องพึ่งกัญชา
    3. การบำบัดทางจิตใจ
      เช่น การบำบัดพฤติกรรมและความคิด (CBT) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจผลกระทบของกัญชา และสร้างแรงจูงใจใหม่ในชีวิต
    4. การสนับสนุนจากครอบครัวและสังคม
      ครอบครัว เพื่อน หรือกลุ่มสนับสนุนมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้ใช้เลิกหรือลดการใช้กัญชา
    5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์
      หากการใช้กัญชากระทบต่อชีวิตประจำวัน ควรพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม

    กรณีศึกษา

    ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีการสำรวจนักศึกษามหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งที่ใช้กัญชาอย่างต่อเนื่อง พบว่า ผลการเรียนเฉลี่ยลดลงและมีอัตราการขาดเรียนสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้กัญชา นอกจากนี้ ยังมีนักศึกษาหลายรายที่เคยตั้งเป้าหมายสูงเกี่ยวกับอาชีพในอนาคต แต่หลังจากใช้กัญชาเป็นประจำ ความกระตือรือร้นและแรงขับเคลื่อนลดลง ส่งผลให้เลือกงานที่ไม่สอดคล้องกับศักยภาพตนเอง

    อีกตัวอย่างหนึ่งจากยุโรป คือผู้ใช้กัญชาในวัยทำงานที่รายงานว่าตนเองรู้สึกพอใจกับการทำงานน้อยลง มีแรงจูงใจลดลงในการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ และมักพอใจกับการทำงานซ้ำ ๆ แม้มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งก็ตาม

    งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

    • การศึกษาจาก National Institute on Drug Abuse (NIDA) ระบุว่า ผู้ที่ใช้กัญชาอย่างหนักในช่วงวัยรุ่น มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับภาวะแรงจูงใจลดลง และผลการเรียนที่ตกต่ำยาวนานจนถึงวัยผู้ใหญ่
    • การวิจัยเชิงประสาทวิทยาแสดงให้เห็นว่า การใช้กัญชาต่อเนื่องสามารถเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมองส่วน prefrontal cortex ซึ่งควบคุมการวางแผน การตัดสินใจ และแรงจูงใจในชีวิต

    สิ่งเหล่านี้ยืนยันว่ากัญชาไม่เพียงแค่มีผลชั่วคราวต่ออารมณ์ แต่ยังสามารถกระทบต่อระบบสมองที่มีบทบาทในการสร้างแรงบันดาลใจและเป้าหมายชีวิตในระยะยาว


    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกัญชาและแรงจูงใจ

    แม้จะมีหลักฐานชัดเจน แต่ผู้ใช้กัญชาจำนวนหนึ่งยังเชื่อว่า “กัญชาไม่ทำให้ขี้เกียจ” หรือ “ใช้เพียงเพื่อผ่อนคลาย ไม่กระทบงาน” ความจริงแล้วผลกระทบขึ้นอยู่กับ ปริมาณ ความถี่ และความไวส่วนบุคคลของสมอง บางคนอาจยังคงรักษาระดับประสิทธิภาพชีวิตได้ แต่หลายคนกลับค่อย ๆ สูญเสียความมุ่งมั่นโดยไม่รู้ตัว

    ความเข้าใจผิดนี้เป็นอันตราย เพราะทำให้ผู้ใช้ละเลยสัญญาณเตือน เช่น ขาดความสนใจในกิจกรรมที่เคยรัก หรือเริ่มทำงานด้วยทัศนคติแบบ “ทำไปวัน ๆ”


    แนวทางเชิงนโยบายและการให้ความรู้สังคม

    เพื่อป้องกันผลกระทบของกัญชาต่อแรงจูงใจ จำเป็นต้องมีมาตรการทั้งในระดับบุคคลและสังคม

    1. การให้ความรู้ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย
      ควรมีหลักสูตรหรือกิจกรรมที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบด้านแรงจูงใจ เพื่อให้นักเรียนและนักศึกษาตระหนักว่ากัญชาไม่เพียงแต่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย แต่ยังอาจบั่นทอนอนาคต
    2. การตรวจคัดกรองในสถานที่ทำงาน
      องค์กรและบริษัทสามารถจัดโปรแกรมให้คำปรึกษาและตรวจสอบการใช้สารเสพติด เพื่อป้องกันไม่ให้พนักงานสูญเสียประสิทธิภาพการทำงาน
    3. การสนับสนุนด้านการแพทย์และจิตวิทยา
      รัฐควรลงทุนในบริการให้คำปรึกษาและบำบัด เพื่อช่วยผู้ที่เริ่มสูญเสียแรงจูงใจจากการใช้กัญชาให้กลับมามีเป้าหมายในชีวิตอีกครั้ง
    4. การควบคุมการเข้าถึง
      ถึงแม้กัญชาจะถูกกฎหมายในบางพื้นที่ แต่ควรมีการควบคุม เช่น จำกัดอายุผู้ซื้อ กำหนดปริมาณการใช้ และควบคุมสาร THC ไม่ให้เกินระดับที่เป็นอันตรายต่อสมอง

    เคล็ดลับเชิงปฏิบัติในการฟื้นฟูแรงจูงใจหลังการใช้กัญชา

    สำหรับผู้ที่เคยใช้กัญชาและพบว่าประสิทธิภาพชีวิตหรือแรงจูงใจลดลง การฟื้นฟูตนเองเป็นสิ่งที่ทำได้ หากมีการวางแผนที่เหมาะสมและลงมือปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

    1. การกำหนดเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว

    การกลับมามีแรงจูงใจเริ่มจากการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน แบ่งเป็น

    • เป้าหมายระยะสั้น เช่น ตื่นนอนตรงเวลา ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 วัน หรืออ่านหนังสือวันละ 20 นาที
    • เป้าหมายระยะยาว เช่น สำเร็จการศึกษา เริ่มต้นธุรกิจ หรือพัฒนาทักษะใหม่

    เมื่อทำสำเร็จตามเป้าหมายเล็ก ๆ สมองจะหลั่งสารโดพามีนซึ่งช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้เดินหน้าต่อ

    2. การสร้างกิจวัตรประจำวันที่มีโครงสร้าง

    บุคคลที่สูญเสียแรงจูงใจจากกัญชามักรู้สึก “ล่องลอย” ไม่มีแบบแผน การสร้างกิจวัตร เช่น การตื่นนอน กินอาหาร ออกกำลังกาย และทำงานในเวลาที่แน่นอน จะช่วยปรับสมดุลทางชีวภาพและฟื้นฟูวินัยในชีวิต

    3. การออกกำลังกาย

    งานวิจัยยืนยันว่าการออกกำลังกายมีผลเชิงบวกต่อระบบสมองที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ เช่น ช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอนดอร์ฟินและโดพามีน นอกจากนี้ยังช่วยลดความเครียดและภาวะซึมเศร้าที่มักเกิดร่วมกับการใช้กัญชา

    4. การฝึกสมาธิและสติ (Mindfulness)

    การฝึกสมาธิหรือสติช่วยให้ผู้ที่เคยใช้กัญชาสามารถกลับมาควบคุมความคิดและอารมณ์ได้ดีขึ้น การฝึกหายใจลึก ๆ หรือการทำสมาธิสั้น ๆ วันละ 10–15 นาที สามารถลดความอยากใช้สารและเพิ่มความชัดเจนของเป้าหมายชีวิต

    5. การหาสังคมสนับสนุน

    แรงจูงใจมักฟื้นตัวได้เร็วขึ้นหากมีคนรอบข้างที่ให้กำลังใจ การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน (Support Group) หรือพูดคุยกับเพื่อนและครอบครัวที่เข้าใจสถานการณ์ จะช่วยป้องกันการกลับไปใช้กัญชาอีกครั้ง

    6. การขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ

    ในกรณีที่แรงจูงใจลดลงอย่างต่อเนื่อง ควรเข้าพบผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหรือจิตแพทย์ การทำจิตบำบัดหรือรับคำปรึกษาสามารถช่วยให้ค้นหาสาเหตุเชิงลึก และหาวิธีฟื้นฟูที่ตรงกับบุคลิกภาพของแต่ละคน


    มุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นฟู

    การหยุดใช้กัญชาไม่ได้หมายถึงการสูญเสียสิ่งที่เคยมี แต่กลับเป็นโอกาสในการเริ่มต้นใหม่ ผู้ที่เคยเผชิญกับภาวะไร้แรงจูงใจ สามารถใช้ประสบการณ์นี้เป็นแรงผลักดันในการสร้างชีวิตที่เข้มแข็งขึ้น ตัวอย่างเช่น มีผู้ที่เลิกกัญชาแล้วหันมาสร้างธุรกิจ ลงมือเขียนหนังสือ หรือแม้แต่กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาเพื่อทำตามความฝันที่เคยละทิ้งไป

    ความผิดปกติด้านแรงจูงใจ: ผลกระทบของ กัญชา ต่อประสิทธิภาพชีวิต ความสำคัญของแคลเซียมและวิตามินดีต่อกระดูกที่แข็งแรง ตลาดนัดสวนจตุจักร: สวรรค์แห่งการช้อปปิ้งสูงสุดของ กรุงเทพฯ รอยแตกลาย คืออะไร? สาเหตุ ประเภท และวิธีป้องกัน
    Justin Mitchell

    Related Posts

    อันตรายของควัน บุหรี่ ต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยง

    August 15, 2025

    วิธีช่วยให้เด็กๆ เอาชนะความกลัวหมอ ฟัน

    August 14, 2025

    การดูแลเส้น ผม สีดอกเลาในผู้สูงอายุให้สุขภาพดีและเงางาม

    August 12, 2025

    Comments are closed.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.